แดนของสัตว์เดรัจฉาน

Socail Like & Share

สัตว์เดรัจฉานที่เกิดในแดนนี้ มีกำเนิด ๔ ประการ คือ เกิดจากไข่ เกิดจากครรภ์ เกิดจากไคล และเกิดโดยมีรูปกายโตใหญ่ขึ้นทันใด บรรดาสัตว์เดรัจฉานเหล่านี้ได้แก่ ครุฑ นาค สิงห์ ช้าง ม้า วัว ควาย เนื้อ เป็ด ห่าน ไก่ และนก เป็นต้น สัตว์เหล่านี้บางชนิดไม่มีเท้า บางชนิดมี ๒ เท้า บางชนิดมี ๔ เท้า บางชนิดมีเท้าเป็นจำนวนมาก สัตว์เหล่านี้เวลาเดินควํ่าตัวลงขนานกับพื้น

สัตว์เดรัจฉานมีความรู้อยู่ ๓ อย่างคือ รู้สืบพันธุ์ รู้กินอาหาร และรู้กลัวความตาย ตามปกติสัตว์เดรัจฉาน ไม่รู้จักบุญหรือธรรม ไม่รู้จักเลี้ยงตนด้วยการค้าขาย ทำไร่ไถนา บางชนิดกินหญ้าเป็นอาหาร บางชนิดกิน เถาวัลย์ กินใบไม้ บางชนิดกินกันเอง บางชนิดกินสัตว์ที่อ่อนแอกว่าตน สัตว์ที่อ่อนแอมักจะหนีไปซ่อนในที่เร้นลับ เมื่อสัตว์ที่แข็งแรงกว่าวิ่งไล่ทันก็จะกินสัตว์ที่อ่อนแอนั้น การที่สัตว์เดรัจฉานเลี้ยงชีวิตด้วยการฆ่ากัน เมื่อตายไปย่อมไปเกิดในอบายภูมิ ๔ สัตว์เดรัจฉานจำนวนน้อยที่ได้ไปเกิดบนสวรรค์ สัตว์ซึ่งเดินควํ่าตัวลงขนานกับพื้นนั้นมีทั้งที่ดีและที่ไม่ดี ที่ดี ได้แก่ ราชสีห์ซึ่งมี ๔ ประเภท คือ ติณสีหะ กาฬสีหะ ปัณฑุรสีหะ และไกรสรสหะ ติณสีหะประเภทแรก คือ ติณสีหะนั้น มีขนสีหม่น เหมือนสีปีกนกเขา กินหญ้าเป็นอาหาร ประเภทที่ ๒ กาฬสีหะนั้นมีขนสีดำเหมือนวัวดำ กินหญ้าเป็นอาหาร ประเภทที่ ๓ ปัณฑุรสีหะ มีขนสีเหลือง เหมือนสีใบไม้ กินเนื้อเป็นอาหาร ประเภทที่ ๔ ไกรสรสีหะ มีปากและเท้าทั้ง ๔ เป็นสีแดง ดุจเอาน้ำครั่งละลายด้วยนํ้าชาดหรคุณทาไว้ ท้องก็เป็นสีแดงเช่นกัน มีแนวแดงตั้งแต่หัวตลอดจนถึงหลัง และอ้อมลงถึงขาแนวแดงนี้ดุจรัดสะเอว งามเหมือนมีผู้แต้มไว้ ขนคออ่อนนุ่มราวกับพันด้วยผ้าแดง ซึ่งมีค่าแสนตำลึงทอง ขนที่ตัวไกรสรสีหะนี้ บางตอนก็มีสีขาวงามประดุจหอยสังข์ที่ขัดใหม่ เมื่อไกรสรสีหะออกจากถํ้าที่อยู่จะเป็นถํ้าทอง หรือถํ้าแก้วก็ตาม จะขึ้นไปอยู่บนแผ่นหินซึ่งมีสีเหลืองงาม ประดุจทองคำ สองตีนหลังเหยียดเสมอกัน และยืนสองตีนหน้า สะบัดขนมองหลัง แล้วเหยียดสองตีนหน้า ฟุบสองตีนหลังลงแล้วยืนตัวขึ้น ส่งเสียงดังดุจฟ้าลั่นสะบัดขนแล้วจึงออกเดิน เมื่อวิ่งไปมามีลักษณะเหมือนลูกวัววิ่ง ท่าเดินของไกรสรสีหะนั้น ดูว่องไวงดงามเหมือนผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง ถือดุ้นไฟแกว่งไปมา ในคืนเดือนมืด เสียงร้องของไกรสรสีหะนั้นดังมากจนได้ยินไปไกลถึง ๓ โยชน์ ร้อง ๓ ครั้ง บรรดาสัตว์ ๒ ตีน ๔ ตีน ซึ่งอยู่ในระยะเสียงที่ได้ยินนั้น ก็จะตกใจ กลัวตัวสั่น และสลบอยู่ไม่รู้สึกตัว แล้วพากันหนีจากที่นั้นไปจนหมดสิ้น ส่วนสัตว์ที่อาศัยอยู่ในนํ้า ก็ดำหนีลงไปจนถึงใต้พื้นนํ้า ร้องครวญคราง ช้างสารในป่าเมื่อได้ยินเสียงไกรสรสีหะ ก็รู้สึกกลัวร้องขึ้นและหนีไปในป่า ส่วนช้างบ้านที่ผูกไว้ด้วยเชือก หรือเชือกหนัง เมื่อได้ยินเสียงไกรสรสีหะ ก็ดิ้นแรงจนเชือกขาด ขี้ เยี่ยวราดแล้ววิ่งหนีไป เว้นแต่ไกรสรสีหราชด้วยกัน ม้าแก้วที่ชื่อว่า พลาหก และผู้มีบุญคือ พระโพธิสัตว์ พระอรหันต์ ขีณาสพเท่านั้น ก็สามารถฟังเสียง ไกรสรสีหะนั้นได้

ยามเมื่อไกรสรสีหะกระโดดโลดเต้นนั้น เมื่อกระโดดไปทางซ้ายหรือ ขวาก็จะกระโดดไปได้ไกลระยะทางเท่าสุดเสียงวัวร้อง เมื่อกระโดดขึ้นเบื้องต้น ก็จะกระโดดได้สูงเป็นสี่เท่าของระยะสุดเสียงวัวร้อง บางครั้งก็สูงถึงเจ็ดเท่า ของระยะสุดเสียงวัวร้องเมื่อกระโจนออกไปข้างหน้าก็จะกระโจนออกไปได้สิบหก ถึงยี่สิบเท่าของระยะสุดเสียงวัวร้อง หากกระโจนลงจากที่สูงลงล่างก็จะไปไกล ๖๐ ถึง ๘๐ โยชน์ เมื่อกระโดดขึ้นไปกลางอากาศ ต้นไม้ใหญ่ก็จะแหวกเป็นช่องทั้งด้านซ้ายและขวาและกระโดดได้สูงเป็นระยะทางเท่าสุดเสียงวัวร้อง พอหยุดการกระโดดโลดเต้นแล้ว ก็จะส่งเสียงร้องอย่างดังสามครั้ง ครั้นหยุดแล้วก็จะกระโดดโลดเต้นโดยกระโดดไปข้างหน้า ๓ โยชน์ ความเร็วก่อให้เกิดลมพัดดัง เสียงดังของลมจะได้ยินไล่มาข้างหลัง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะไกรสรสีหะมีกำลังวังชาแข็งแรงยิ่งนักในบรรดาสัตว์สี่ตีนนั้นไม่มีสัตว์ใดจะกระโดดไปในอากาศได้เร็วเท่าไกรสรสีหะยกเว้นแต่ช้างแก้ว

ช้างแก้วนั้นมีอยู่ ๑๐ ตระกูล ได้แก่ ช้างที่มีผิวกายสีดำ
(กาฬาพกหัตถีกุล) ช้างที่มีผิวกายสีนํ้าไหล (คังเคยยหัตถีกุล) ช้างที่มีผิวกายสีขาว (ปัณฑรหัตถีกุล) ช้างที่มีช้างแก้วผิวกายสีทองแดง (ตามพหัตถีกุล) ช้างที่มีผิวกายสีแสด (ปิงคลหัตถีกุล) ช้างที่มีกลิ่นหอม (คันธหัตถีกุล) ช้างมงคล (มังคลหัตถีกุล) ช้างที่มีสีกายสีทอง (เหมหัตถีกุล) ช้างซึ่งรักษาศีลแปด(อุโปสถหัตถีกุล) และช้างหกงา (ฉัททันตหัตถีกุล) ฝูงช้างทั้งหลายนี้ อาศัยในถํ้าทองกว้างใหญ่ตกแต่งอย่างงดงาม

สัตว์ที่ไม่มีตีน อันได้แก่ ปลาใหญ่ ๗ ตัว คือ ตัวหนึ่งชื่อติมิ ตัวยาว ๒๐๐ โยชน์ ตัวหนึ่งชื่อ ติงมิงคล ตัวยาว ๓๐๐ โยชน์ ตัวหนึ่งชื่อ ติมิรปิงคล ตัวยาว ๕๐๐ โยชน์ ส่วนอีก ๔ ตัวต่อไปนี้ตัวยาว ๑,๐๐๐ โยชน์ ได้แก่ ปลาอานนท์ ปลาอานนท์ปลาติมินทะ ปลาอัชฌนาโรหะ ปลามหาติมิระ เมื่อใดที่ปลาติมิรปิงคล โบกครีบไปทางด้านซ้ายและขวา โยกหาง แกว่งหัว นํ้าในมหาสมุทรก็จะเกิดเป็นฟองประดุจดังหม้อแกงเดือด ฟองนี้จะแผ่กระจายไปไกลถึง ๔๐๐ โยชน์ เมื่อใดที่ปลานี้โบกครีบทั้งสองแกว่งหางแกว่งหัว ว่ายน้ำฉวัดเฉวียน นํ้านั้นก็จะกระเทือนไปถึงแผ่นดิน ทำให้เกิดฟองกระจายไป ๗๐๐ ถึง ๘๐๐ โยชน์ ที่กล่าวมานี้แสดงให้เห็นความแข็งแรงของปลาติมิรปิงคล ส่วนปลาใหญ่อีก ๔ ชนิดก็ยิ่งมีกำลังใหญ่ยิ่งกว่านี้

พญาครุฑก็จัดเป็นสัตว์เดรัจฉานเช่นเดียวกัน แต่อาหารและที่อยู่ของ ครุฑนั้นเหมือนของเทวดาในสวรรค์ มีฤทธิอำนาจ สามารถเนรมิตตนได้เช่นกัน ดังนั้น จึงได้ชื่อว่าเทพโยนิ ที่เชิงเขาพระสุเมรุมีสระใหญ่สระหนึ่ง ชื่อ พญาครุฑสิมพลี กว้าง ๕๐๐ โยชน์ มีต้นงิ้วขึ้นเป็นป่าล้อมรอบ มีความสูงเท่ากันราวกับมีผู้ปลูกไว้ ใบเขียวงามน่าดูยิ่งนักและยังมีต้นงิ้วใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง ขนาดเท่าต้นไม้ชมพูทวีป สระนี้เป็นที่อยู่ของฝูงครุฑ ไม่มีสัตว์ปีกใดที่จะเทียบเท่าครุฑได้เลย พญาครุฑ ผู้เป็นใหญ่นั้นมีร่างกายใหญ่โตถึง ๑๕๐ โยชน์ ปีกซ้ายขวายาว ๑๕๐ โยชน์ หางยาว ๖๐ โยชน์ คอยาว ๓๐ โยชน์ ปากยาว ๙ โยชน์ ตีนทั้งสองยาว ๑๒ โยชน์ เมื่อครุฑกางปีกเต็มที่บินไปในอากาศจะยาวถึง ๗๐๐ โยชน์ เวลาเหยียดปีก เต็มที่ จะได้ถึง ๘๐๐ โยชน์ ครุฑนั้นมีร่างกายใหญ่โตและกำลังวังชาแข็งแรงยิ่งนัก เมื่อเวลาครุฑเฉี่ยวนาคกลางมหาสมุทร นํ้าจะแยกออกโดยรอบมีรัศมี ๑๐๐ โยชน์ ครุฑจะใช้เล็บรัดหางนาค ปล่อยหัวห้อยลง แล้วพาบินไปยังที่อยู่แล้วจึงจะกินเป็นอาหาร ครุฑมักจะเลือกกินนาคที่มีขนาดเท่าตนหรือเล็กกว่า ถ้ามีขนาดใหญ่กว่า ก็ไม่สามารถจับกินได้ ครุฑจะมีการเกิดได้ ๔ แบบ คือ จากครรภ์ จากไข่ จากไคล และเกิดเป็นรูปกายโตใหญ่ในทันที แต่พญาครุฑที่เกิดจากครรภ์และไข่ จะไม่สามารถจับนาคที่เกิดจากไคล และที่เกิดเป็นรูปกายโตใหญ่ในทันทีได้

หลังจากไฟบรรลัยกัลป์ไหม้แล้ว ก็จะเริ่มเกิดแผ่นดินใหม่ มีแต่ความ ว่างเปล่า บางแห่งโล่งว่างมีความกว้างและสูงถึง ๓๐๐ โยชน์ บางแห่ง ๕๐๐ โยชน์ บางแห่ง ๗๐๐ โยชน์ เป็นที่ราบเท่ากัน พื้นดินปกคลุมด้วยสีขาวเป็นมันราวแผ่นเงินยวง บางแห่งมีหญ้าแพรกขึ้นเขียวเป็นมัน สูง ๓-๔ นิ้วมือ เขียวงามราวแผ่นแก้วไพฑูรย์ ดูสว่างเรืองรองทั่วแผ่นดิน มีสระหลายแห่งเต็มไปด้วยพันธุ์บัว ๕ ชนิด สวยงามยิ่งนัก มีไม้ยืนต้นซึ่งลำต้นงามไม่มีด้วงหรือแมลงเจาะไช ผลิตดอกออกผลดูตระการตายิ่งนัก ส่วนเถาวัลย์นั้นก็ออกดอกเป็นสีแดง สีขาว สีเหลือง ดูงามตาราวกับมีผู้มาประดับตกแต่งไว้ สถานที่ดังกล่าวแล้วนี้เรียกว่า นาคพิภพ เป็นที่อยู่ของเหล่านาคทั้งหลาย มีปราสาทแก้ว ปราสาทเงิน ปราสาท ทองงามมาก มีที่ว่างโล่งแห่งหนึ่งซึ่งไม่มีสิ่งใดอาศัยอยู่เลย เป็นที่กลวงอยู่ภายใต้เขาหิมพานต์ กว้าง ๕๐๐ โยชน์ เป็นเมืองนาคราช มีแก้ว ๗ ประการ แผ่นดินงดงามดั่งสวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์ อันเป็นที่อยู่ของพระอินทร์ มีสระใหญ่ๆ หลายแห่ง ล้วนเป็นที่อยู่ของฝูงนาค นํ้าใสสะอาด ไม่มีตะไคร่ดูราวกับแผ่นแก้วแผ่นใหญ่ ซึ่งเช็ดขัดซ้ำแล้วซํ้าอีก มีท่านํ้าราบเรียบแห่งหนึ่ง ซึ่งนาคชอบมาอาบนํ้าเล่น ในน้ำนั้นมีปลาใหญ่ไล่กัดปลาเล็ก มีจอกและพันธุ์บัว ๕ ชนิดดอกบานดูตระการตา บัวหลวงดอกใหญ่เท่าล้อเกวียน สะเทือนไหวไปตามน้ำ ดูงามยิ่งนักราวกับมีผู้ประดับแต่งไว้

นาคชนิดหนึ่งอาศัยอยู่ในทะเล เมื่อนาคตัวเมียมีครรภ์แก่ก็จะตรึกตรอง อยู่ในใจว่า หากจะออกลูกกลางทะเลนี้ ทะเลก็มีฟองมากซึ่งเกิดจากนกนํ้า และครุฑ ดังนั้น นาคที่มีครรภ์แก่จึงดำนํ้าลงไปจนถึงแม่นํ้าทั้งห้า ที่ชื่อว่า คงคา ยมนา อจิรวดี สรภู มหีมหานที ซึ่งไหลลงสู่มหาสมุทรใหญ่ แล้วจึงดำนํ้าขึ้นไปยังป่าใหญ่ ที่ชื่อ ป่าหิมพานต์ ในป่าหิมพานต์นั้น มีถํ้าทอง ซึ่งครุฑไม่สามารถบินไปถึงได้ นางนาคจึงคลอดลูกไว้ในที่นั้น แล้วเลี้ยงดูลูกจนเติบใหญ่แข็งแรงแล้วจึงพาลงนํ้าลึก เพียงหน้าแข้ง และสอนให้ว่ายนํ้าทั้งที่ลึกและที่ตื้น จนเห็นว่าลูกว่ายนํ้าได้ดีแล้ว จึงพาว่ายข้ามแม่นํ้าใหญ่มาจนเห็นว่าลูกว่ายนํ้าได้รวดเร็วดีแล้ว จึงเนรมิต ให้ฝนตกหนักจนนํ้านองเต็มป่าหิมพานต์ และท่วมถึงทะเล จึงเนรมิตปราสาททองคำประดับด้วยแก้วเจ็ดประการงามรุ่งเรืองนัก ในปราสาทมีเครื่องประดับ เครื่องอุปโภคบริโภคอันเป็นทิพย์ ราวกับวิมานเทพยดาในสวรรค์ ต่อจากนั้น นาคจึงนำลูกตนขึ้นอยู่บนปราสาท แล้วพาปราสาทล่องนํ้าลงมาถึงมหาสมุทรที่ลึกถึง ๑,๐๐๐ วา แล้วพาปราสาทและลูกดำนํ้าลงไปอยู่ในทะเลนั้น

นาคมี ๒ ชนิด คือ ถลชะ ชลชะ นาคถลชะสามารถเนรมิตตนได้แต่บนบก ไม่สามารถเนรมิตตนในนํ้า ส่วนนาคชลชะสามารถเนรมิตตนในนํ้า แต่ไม่สามารถเนรมิตนาคตนบนบกได้ ในสถานที่ ๕ แห่งต่อไปนี้ นาคไม่สามารถเนรมิตตนได้ ได้แก่ ที่เกิด ที่ตาย ที่นอน ที่สมสู่ ที่ลอกคราบ ถ้านาคไปอยู่ในที่แห่งอื่น นอกจากห้าแห่งนี้ นาคก็สามารถเนรมิตตนได้ นาคสามารถเนรมิตตนให้งามราวเทพยดาได้ ส่วนนาคตัวเมียก็สามารถเนรมิตตนให้งามราวเทพธิดา และเทพอัปสร

เมื่อนาคต้องการล่าเหยื่อชนิดใด ก็จะแปลงตัวเป็นเหยื่อชนิดนั้น

เมื่อนาคต้องการหาอาหารบนแผ่นดิน ก็จะเนรมิตตัวเช่นงูไซ งูกระสา งูเห่า งูเขียว และอื่นๆ บางครั้งก็จะเนรมิตตัวเป็นสัตว์อื่นที่ต้องการล่ากิน ทั้งนี้ เพราะนาคเป็นสัตว์เดรัจฉาน

ระยะทางจากพื้นแผ่นดินที่เราอยู่ จนถึงนาคพิภพนั้น ลึกถึง ๘,๐๐๐ วา

บรรดาสัตว์เดรัจฉานเป็นต้นว่า ราชหงส์ ซึ่งอาศัยอยู่ในเขาคิชฌกูฏ และในถํ้าทองนั้น อาศัยอยู่ในปราสาทรวมกับฝูงนกอื่นๆ และสัตว์ต่างๆ ตามที่มีอยู่ ในป่าหิมพานต์หงส์นั้นมีจำนวนมากมาย ส่วนที่อาศัยอยู่ในบ้านในเมืองก็ยังมีอีกมากเป็นต้นว่า เป็ด ไก่ นก และห่าน ซึ่งคนเลี้ยงไว้กินเป็นอาหาร ครุฑกินนาค เป็นอาหารส่วนนาคกินกบเขียด กบเขียดกินแมลง บุ้ง สัตว์ใหญ่มักกินสัตว์เล็ก เสือโคร่งเสือเหลืองตัวเมีย ที่ต้องเลี้ยงลูกนั้น เมื่อหิวจัดก็จะออกไปหาอาหาร แต่ก็หาอาหารได้ยากลำบากมาก เมื่อลูกเสือเข้ามากินนมด้วยความรักนั้น แม่เสือจึงจับลูกกินเอง เพราะความอดอยากหิวโหยนั่นเอง

สัตว์เดรัจฉานบางชนิด เกิดนอกเนื้อเดรัจฉาน บางชนิดเกิดในเนื้อ เดรัจฉาน สัตว์บางจำพวกเกิดในที่ไม่ดี หากินเลี้ยงตัวเองไม่ได้ก็จะตายไป บางจำพวกเกิดในท้องมนุษย์มี ๘ ครอก(น่าจะเป็น ๘๐ ครอก)เป็นต้นว่า หนอนที่แผ่พืชพันธุ์และตายในท้องมนุษย์ หรือในท้องสัตว์ที่ใหญ่กว่ามนุษย์ยึดท้องเป็นที่อยู่อาศัย เป็นต้นว่า ไส้เดือนในท้อง สัตว์บางจำพวกมีขน เล็บ เนื้อ เอ็น กระดูก เขา งา ซึ่งคนนำมาใช้ทำงาน แม้ว่าสัตว์เหล่านั้นจะไม่มีความผิดใดๆ ก็ตาม ก็จะถูกล่าเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ สัตว์บางจำพวก เช่น วัว ควาย ช้าง ม้า คนนำมาใช้ทำงานหนัก ตรากตรำ ไม่ได้หยุดพัก เมื่อกินหญ้า และนํ้าด้วยความหิว ก็จะถูกคนตี ด่า บังคับ ที่กล่าวโดยสังเขปมานี้ เป็นเรื่องของเดรัจฉานภูมิ

คณะทำงานโครงการวรรณกรรมอาเซียน