เฮเลน เกลเลอร์นักเขียนและนักศึกษาที่ได้บรรลุถึงความสูงเด่น

Socail Like & Share

Helen Keller
เฮเลน เกลเลอร์ เป็นสตรีที่ได้ลงชื่อในพจนานุกรมชีวประวัติของประเทศต่างๆ ตั้งแต่เธอยังมีชีวิตอยู่

ในพจนานุกรม Chamber’s Biographical ได้เขียนข้อความไว้ว่า Attained high distinction as a writer and scholar(ได้บรรลุถึงความสูงเด่น ในทางนักเขียนและนักศึกษา)

คำยกย่องเช่นนี้ นับว่าสูงมากยากที่บุคคลใดจะได้คำยกย่องนี้ในพจนานุกรม ถ้าสตรีผู้นี้เป็นหญิงปกติธรรมดาทั่วไปก็คงไม่แปลก แต่เฮเลน เกลเลอร์ คือ หญิงที่หูหนวกตาบอดมาตั้งแต่เด็ก เมื่ออายุ 10 ขวบ เพิ่งมาเริ่มสอนพูด หนังสือเรื่องสำคัญที่เธอได้แต่งไว้ มี 6 เรื่องคือ

1. The Story of My Life แต่งในปี พ.ศ. 2445
2. Optimism แต่งในปี พ.ศ. 2446
3. The World I Live In แต่งในปี พ.ศ. 2453
4. My Religion แต่งในปี พ.ศ. 2470
5. Midstream แต่งในปี พ.ศ. 2472
6. Helen Keller’s Journal แต่งในปี พ.ศ. 2481

แม้แต่คนหูหนวกตาบอด เพิ่งเริ่มสอนพูดเมื่ออายุ 10 ขวบ ยังสร้างความยิ่งใหญ่ถึงขนาดนี้ได้ แล้วทำไมคนที่ปกติจะสร้างบ้างไม่ได้

เฮเลน เกลเลอร์ ไม่ได้หูหนวกตาบอดมาแต่กำเนิด แต่เมื่อมามองไม่เห็นและไม่ได้ยินก็ไม่เข้าใจ คิดว่าต้องมีใครแกล้ง เธอโกรธและร้องอยู่เสมอ มีอารมณ์ฉุนเฉียว โทสะร้าย คลำไปเจออะไรเข้าก็ฉีกก็ขว้างให้เสียหาย แต่พอนานเข้าอารมณ์เหล่านี้ก็ค่อยคลายลงไป เพราะเธอมีของเล่นเป็นตุ๊กตา

แม้ฐานะของพ่อแม่มีอันจะกินแต่ก็ไม่มีทางรักษา การเอาเครื่องสำหรับคนหูหนวกมาใส่ก็ทำให้พอได้ยิน เธอได้รับความเมตตาจาก อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบล ผู้ประดิษฐ์เครื่องโทรศัพท์ ทำเครื่องฟังให้ เชื่อว่าได้ยินแต่ไม่รู้เรื่อง เพราะยังพูดไม่ได้ไม่เข้าใจภาษา

บิดาของเฮเลน เกลเลอร์ ได้รับคำแนะนำจาก เกรแฮม เบล ให้ร้องขอไปยังโรงเรียนคนตาบอด บิดาก็ทำตาม ทางโรงเรียนก็ส่งครูคนหนึ่งมาให้ ชื่อ นางสาวอานน์ ซุลลิวัน พื้นเพเดิมของครูคนนี้เป็นคนยากจน บิดาชอบดื่มเหล้าและเมาเป็นประจำ มารดาตายด้วยวัณโรค ตาบอดมาจนถึงอายุ 18 ปี เมื่อแพทย์ลองทำการผ่าตัดก็เกิดมองเห็น และเรียนสำเร็จมาจากโรงเรียนคนตาบอด ขณะที่มาสอนเฮเลน เกลเลอร์นั้น อานน์ ซุลลิวันมีอายุ 20 ปี และเฮเลน เกลเลอร์มีอายุ 6 ขวบ

ผู้เชี่ยวชาญมองว่าเป็นการยากเหลือเกินที่ อานน์ ซุลลิวัน จะทำให้เด็กที่ทั้งตาบอด หูหนวก และเป็นใบ้ มีอาการดีขึ้น ลำพังแค่มีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งก็ยากแล้ว

อานน์เริ่มต้นด้วยการเขียนหนังสือลงบนฝ่ามือของเฮเลนเป็นตัวๆ ของที่เฮเลนชอบคือ ตุ๊กตา อานน์ได้เอาตุ๊กตาใส่มือให้แล้วเอานิ้วมือเขียนคำว่า Doll ในฝ่ามือของเฮเลน ทำอยู่อย่างนี้ช้านานจนเฮเลนรู้ และเข้าใจความหมาย เฮเลนก็ลองเขียนด้วยนิ้วมือบ้างเช่นเดียวกัน เวลาพบกับพ่อแม่ก็จับเอามือมาเขียน

จากนั้นอานน์ ก็เปลี่ยนเอาสุนัขที่เลี้ยงในบ้านมาให้ลูบคลำเล่น แล้วเขียนในฝ่ามือว่า Dog เฮเลนเข้าใจในทันทีว่าหมายถึงสุนัข แต่เมื่อเอาหมวกมาให้เฮเลนรู้จักหมวกมาแล้วจากที่เคยใส่ พออานน์เขียนคำว่า Hat ลงในฝ่ามือเฮเลนก็เขียนได้ เปลี่ยนไปเรื่อยจนถึง Father Mother Sister และคำต่อๆ ไป

อานน์ได้ทำอยู่อย่างนี้ 4 ปี และพูดเข้าทางเครื่องสำหรับคนหูหนวกให้เฮเลนได้ยิน แต่พูดออกมาไม่ได้ ต้องคอยจับที่ปากให้เด็กรู้ว่าออกเสียงอย่างไรก็ต้องทำปากอย่างนั้น ทำไปทีละน้อยจนเริ่มพูดได้เมื่ออายุ 10 ขวบ

อานน์จึงกลายมาเป็นเพื่อนชีวิตของเฮเลน เกลเลอร์ ไม่อาจแยกกันได้ต้องอยู่กับเฮเลนตลอดเวลา

จากนั้นอานน์ก็สอนให้เฮเลนเรียนพิมพ์ดีด ในขั้นแรกก็ต้องใช้เครื่องสัมผัสแบบอักษรนูน แต่เมื่อพิมพ์สัมผัสได้คล่องก็สามารถใช้เครื่องพิมพ์ธรรมดาได้ ธรรมชาติมักทดแทนแก่สิ่งที่เสียไปเสมอ เฮเลนมีประสาททางหูและตาเสียไป แต่ประสาทสัมผัสของเธอดีมาก เมื่อเรียนพิมพ์ดีดก็ทำได้รวดเร็วและแม่นยำโดยที่ไม่ต้องดู

เฮเลนได้เข้าโรงเรียนแห่งหนึ่งเมื่ออายุได้ 16 ปี โดยมีอานน์เข้าเรียนและนั่งอยู่ข้างๆ ตลอด เมื่อเรียนจบหลักสูตรก็ไปเข้าในขั้นที่สูงกว่าต่อ ในการสอบไล่ครั้งสุดท้ายก็ได้คะแนนเกียรตินิยมในทางอักษรศาสตร์ อังกฤษ และเยอรมัน

เฮเลนได้สำเร็จการศึกษาในโรงเรียนชั้นสูง ได้ประกาศนียบัตรอย่างดี เฮเลนจะอ่านจากหนังสือตัวนูนสำหรับคนตาบอด เรื่องตาบอดไม่มีทางแก้ไขได้ แต่เรื่องหูหนวกก็พอจะใช้วิธีพูดกรอกใส่เครื่องให้ได้ยินได้ อานน์ก็อยู่กับเฮเลนตลอด แม้เฮเลนจะจบการศึกษาและออกไปอยู่นอกบ้านแล้วอานน์ก็ตามไปด้วย อานน์เอาเชือกผูกจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่งเพื่อให้เฮเลนเดินเล่นได้ และเฮเลนก็เริ่มแต่งหนังสือจากที่นี่

หนังสือเล่มแรกของเธอชื่อว่า “The Story of My Life” เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตเธอเอง ที่บรรยายถึงความรู้สึกของเธอ ตั้งแต่จำความได้ ชีวิตที่ผิดปกติ และความสงสารในตัวเธอทำให้หนังสือนั้นขายดี เป็นเรื่องที่เร้าความอยากรู้ของคน แต่หนังสือก็เป็นหนังสือที่แต่งดีมากเช่นกัน เฮเลน เกลเลอร์มีนิสัยของนักประพันธ์อยู่แล้ว นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ของอเมริกาอย่าง มาร์ค ทเวน ยังได้กล่าวถึงเธอว่า ไม่แปลกเลยที่คนอย่างเฮเลน เกลเลอร์จะเขียนหนังสือได้ดี เพราะคนหูหนวกตาบอดก็เหมือนคนปกติอยู่ในที่มือ พอมีแสงสว่างมาเล็กน้อยก็เห็นว่ามากทีเดียว เขาชมเฮเลนว่า เธอเห็นโลกเห็นชีวิตมากกว่าคนตาดีเสียอีก การมองไม่เห็นด้วยตาแต่เห็นด้วยใจจะมีกำลังแรงมากกว่า

เรื่องของเฮเลน เกลเลอร์ได้รับความนิยมทั่วไป เธอต้องทำงานหนัก บางวันต้องพิมพ์ถึง 40 หน้ากระดาษ เมื่อพิมพ์เองไม่ไหวก็ต้องมีเลขานุการพิมพ์โดยที่ตนเองเป็นคนบอกให้พิมพ์

ครั้งหนึ่งเฮเลน เกลเลอร์ ได้รักกับเลขานุการหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเป็นคนพิมพ์ เขาขอเธอแต่งงาน เธอได้เขียนเรื่องไว้ตอนหนึ่งว่า เธอวิ่งเข้าออกในระหว่างประตูสวรรค์ โดยไม่แน่ใจว่าจะเข้าไปหรือไม่ แต่ในที่สุดก้ตัดสินใจว่า ไม่เข้าไป เธออยู่คนละโลกกับมนุษย์ทั้งหลาย ความรักในทางกาย และความรื่นรมย์ในการแต่งงานไม่ใช่ของเธอ ความรับผิดชอบในการเป็นมารดา เธอทำไม่ได้ เธอจำเป็นต้องอยู่ในโลกของเธอ โลกที่แวดล้อมด้วยความฝัน และหนังสือ

ส่วนอานน์ ซุลลิวัน ในที่สุดก็แต่งงานมีสามี และเข้ามาอยู่ด้วยกันกับเฮเลน แต่ก็ต้องออกไปเพื่อทำมาหากินทางอื่น และเฮเลนก็ได้จ้างสตรีคนใหม่มาเป็นเพื่อนและเป็นเลขานุการ

คนใหญ่คนโตของอเมริกา มหาเศรษฐีขนาด คาร์เนกี ยังมาเยี่ยมเธอด้วยความเมตตา มาร์ค ทเวน ก็มาเยี่ยมบ่อยครั้ง และให้กำลังใจแก่เธอว่า “มีมากมายหลายอย่างที่คนตาดีมองไม่เห็น แต่คนตาบอดมองเห็น คนหูดีไม่ได้ยิน แต่คนหูหนวกได้ยิน”

นอกจากการแต่งหนังสือแล้ว เฮเลน เกลเลอร์ยังได้ทำการสอนให้ทั้งคนตาบอดและตาดีด้วย เธอได้ทำ “Lecture Tour” เป็นการท่องเที่ยงแสดงปาฐกถาในเมืองใหญ่ๆ ทั่วสหรัฐอเมริกา ไปที่ไหนก็มีคนต้อนรับอย่างคับคั่ง ผู้ฟังและปราชญ์ทั้งหลายก็ให้การรับรองปาฐกถาที่ได้ฟังว่า เฮเลน เกลเลอร์ เป็นผู้ที่มีความรู้สูงจริงๆ คนหนึ่ง สมกับที่พจนานุกรม Chamber ได้เขียนไว้ว่า ได้บรรลุถึงความสูงเด่นในทางที่เป็นนักเขียนและนักศึกษา

แต่ใน พ.ศ. 2479 ขณะที่เธอมีอายุได้ 56 ปี เธอต้องพบกับความเศร้าสลดครั้งใหญ่เมื่อรู้ว่าอานน์ ซุลลิวัน ถึงแก่ความตาย แม้ดวงตาที่ไม่สามารถมองเห็นอะไรแต่ก็ยังมีน้ำตาออกมาได้

เฮเลน เกลเลอร์เป็นคนที่เคร่งครัดทางศาสนามาก เธอเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง และเชื่อมั่นในลัทธิของสวีเดนเบอร์ก เชื่อว่าสวรรค์มีจริง เธอเชื่อเสมอว่าเธอจะได้ขึ้นสวรรค์ และที่เธอได้รับจากสวรรค์อันแรกก็คือสายตาที่มองเห็น นัยน์ตาของเธอจะมองเห็นทันทีเมื่อเธอขึ้นสวรรค์ เธอเชื่ออย่างนั้น
ที่มา: พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ