เบนจามิน ดิสราเอลี(Benjamin Disraeli)

Socail Like & Share

เบนจามิน ดิสราเอลี เป็นคนรุ่นหลังห่างจากสมัยราเล่ถึงสองศตวรรษครึ่ง เกิดเมื่อ พ.ศ. 2347 และถึงแก่กรรมใน พ.ศ. 2424 เมื่อมีอายุได้ 77 ปี ท่านผู้นี้เป็นนายกรัฐมนตรีที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของประเทศอังกฤษ

ประวัติของท่านผู้นี้มีเรื่องคล้ายคลึงกันกับประวัติของเซอร์วอลเตอร์ ราเล่ คือ ราเล่เป็นคนโปรดในสมัยของพระมหาราชินีอลิซาเบธ และเบนจามิน ดิสราเอลี ก็เป็นนายกรัฐมนตรีผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยของพระนางเจ้าวิกตอเรีย ซึ่งเป็นราชินีผู้รุ่งโรจน์ของประเทศอังกฤษเช่นกัน

สมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรียเคยรับสั่งว่า “ดิสราเอลีเป็นบุคคลเดียวที่ไม่เห็นฉันเป็นผู้หญิง” ในเวลานั้นผู้ที่เห็นเหตุการณ์ได้เล่าว่า เวลาที่ดิสราเอลีเข้าเฝ้าราชินี เขาได้มองต่ำจนเกือบจะหลับตา ไม่เคยนั่งต่อหน้าพระราชินี ไม่ว่าจะมีเรื่องงานเมืองทูลนานสักเพียงใด ก็จะต้องยืนอยู่ตลอด โดยไม่ยอมแสดงความสนิทสม หรือทำตนเป็นคนที่ได้รับการไว้พระทัยเลยเป็นอันขาด

ความมักใหญ่ใฝ่สูงที่มีอยู่ในนิสัย ในเลือด และดวงจิตของบุคคลนี้มาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ถูกห่อหุ้มปิดบังเอาไว้ด้วยมารยาทที่เสงี่ยมเจียมตัว เขาได้เขียนไว้ว่า “ถ้าเราเป็นคนเล็กน้อย ชีวิตของเราก็สั้นเกินไป” หมายถึงการจะมีชีวิตยืนยาวได้ ก็จะต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้น

เขาเกิดในประเทศอังกฤษ มีสัญชาติอังกฤษ รักทุกอย่างที่เป็นอังกฤษ แต่มีความสับสนยุ่งยากอยู่ในเรื่องเลือดเนื้อเชื้อสายและพงศ์พันธุ์ ซึ่งปู่ของเขาเป็นชาวยิว ถือสัญชาติอิตาเลียน อพยพไปอยู่ในอังกฤษ มีอาชีพค้าไก่เล็กฮอร์นและขายหมวกฟาง ในภายหลังก็มั่งคั่งตามลักษณะของยิวจนได้เป็นนายธนาคาร ส่วนพ่อของเขาเกิดในประเทศอังกฤษ แม่ของเขาเป็นสเปน ซึ่งถือว่าเขามีส่วนผสมของหลายชาติหลายภาษา จึงทำให้ฐานะของเขาลำบากมาก ที่สำคัญที่สุดก็คือ ในเรื่องที่เขามีเชื้อชาติยิวทั้งชื่อตัวและนามสกุล และจมูกของเขาก็งุ้มเป็นขอประกาศความเป็นเชื้อชาติยิวอย่างไม่มีทางปฏิเสธได้ บุคคลชนิดนี้จะไม่สามารถก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศอังกฤษได้ ถ้าไม่ใช่ด้วยความฉลาดสามารถเลิศล้น

เขาต้องถือลัทธิศาสนายิวเมื่ออยู่ในวัยเด็ก เพราะปู่และพ่อยังถืออยู่ และพ่อของเขายอมให้เปลี่ยนมาถือคริสต์ศาสนาได้เมื่อปู่ของเขาได้ถึงแก่กรรมลง

เขาได้เข้าโรงเรียนเมื่ออายุได้ 13 ปี สิ่งที่ทำให้เขาเด่นกว่าเด็กคนอื่นก็คือ เขามีความใฝ่ฝัน ความเฉลียวฉลาด ความมานะพยายาม มีลักษณะเป็นผู้นำ และมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เขาได้เป็นหัวหน้าชั้น ได้เป็นหัวหน้าการจัดงานที่นักเรียนจัดขึ้นมาในโรงเรียน เมื่อมีการเล่นละครก็เป็นผู้กำกับการแสดง ทำให้เขาเป็นที่เกลียดชังในหมู่เด็กอังกฤษ เขาถูกเรียกว่ายิว ถูกเรียกว่าต่างชาติ ซึ่งทำให้เขาขื่นขมตลอดมา และการศึกษาของเขาก็ได้สิ้นสุดลงเนื่องจากครั้งหนึ่งมีเด็กที่โตกว่าเขา มาเรียกเขาว่า คนต่างชาติ ทำให้เขาตรงเข้าทำร้ายคนนั้นทันที และต้องถูกออกจากโรงเรียนไป

เมื่อได้รับความเกลียดชังจากเด็กอังกฤษทั้งหลายก็ไม่มีทางที่จะศึกษาในโรงเรียนได้ แต่ด้วยเขาเป็นคนที่รักวิชา เขาจึงได้ศึกษาจากห้องสมุดของพ่อ อ่านหนังสือให้มากที่สุดเท่าที่จะอ่านได้ พ่อได้ฝากให้เขาทำงานในสำนักทนายความเมื่อมีอายุได้ 17 ปี แต่เขาก็ทำด้วยความเบื่อหน่าย เมื่อพ่อของเขามองไม่เห็นทางที่จะให้ลูกได้รับการศึกษาในโรงเรียน หรือด้วยการฝึกหัดงาน และด้วยพ่อของเขามีฐานะมั่งคั่ง ก็ได้ให้เขาไปศึกษาด้วยการท่องเที่ยวเดินทาง และเป็นที่ถูกใจของดิสราเอลีมาก เขาได้เดินทางไปเยอรมนี สเปน ซึ่งเป็นเมืองของมารดา อิตาลีเมืองของบิดา และเยรูซาเล็มสวรรค์ของยิว ภายหลังจากการได้เดินทางอย่างมากมายเขาก็ตัดสินใจด้วยการเลือกอนาคตในทางเป็นนักประพันธ์

อีสัค ดิสราเอลี บิดาของเบนจามิน ดิสราเอลี เป็นนักประพันธ์และนักอักษรศาสตร์ ได้แต่งหนังสือ Curiosities of Literature(สิ่งน่ารู้ในอักษรศาสตร์) เป็นหนังสือชุดใหญ่จบใน 6 เล่ม ในสมัยนั้นนับว่าเป็นตำราสำคัญ และได้แต่งหนังสือชั้นดีมีชื่อเสี่ยงได้รับความนิยมอื่นๆ อีกมาก เช่น Calamities of Authors(ความล่มจมล้มเหลวของนักประพันธ์ทั้งหลาย) Ouarrels of Authors(การวิวาทโต้เถียงในพวกนักประพันธ์) Commentaries on the Life and Reign of Charles I(บรรยายเรื่องชีวิตและรัชสมัยของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1) Amenities of Literature(รสชาติของอักษรศาสตร์) ในประเทศอังกฤษผู้ที่จะแต่งหนังสือชนิดนี้จนได้รับความนิยมต้องเป็นผู้ที่เก่งพอใช้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เบนจามิน ดิสราเอลีจะอาศัยห้องสมุดของพ่อเป็นโรงเรียนอย่างดี และอาศัยพ่อเป็นครูที่ดีที่สุดได้ เพราะบิดาเป็นนักประพันธ์อยู่แล้ว บิดาของดิสราเอลลี จึงไม่ขัดข้องที่เขาเลือกเป็นนักประพันธ์

เบนจามิน ดิสราเอลีเป็นนักประพันธ์ที่ขยันขันแข็ง บทประพันธ์เรื่องใหญ่ที่สำคัญของเขาที่เขียนมาตั้งแต่หนุ่มจนแก่มีดังนี้

1. เมื่ออายุ 22 ปี แต่งเรื่อง Vivian Gray(นวนิยาย)
2. เมื่ออายุ 24 ปี แต่งเรื่อง Captain Popanilla(นวนิยาย)
3. เมื่ออายุ 27 ปี แต่งเรื่อง Young Duke(นวนิยาย)
4. เมื่ออายุ 28 ปี แต่งเรื่อง Contaribi Fleming(นวนิยาย), เรื่อง The wonderous Tales of Alroy(นวนิยาย)
5. เมื่ออายุ 30 ปี แต่งเรื่อง Revolutionary Epick(สารคดี)
6. เมื่ออายุ 31 ปี แต่งเรื่อง Home Letters(เรื่องการท่องเที่ยว), เรื่อง Vindication of English Constitution(การเมือง)
7. เมื่ออายุ 33 ปี แต่งเรื่อง Henrietta Temple(นวนิยาย), เรื่อง Venetia(นวนิยาย)
8. เมื่ออายุ 40 ปี แต่งเรื่อง Coningsty(นวนิยาย), เรื่อง Sybil(นวนิยาย)
9. เมื่ออายุ 42 ปี แต่งเรื่อง Tancred or The New Crusade(สารคดี)
10. เมื่ออายุ 66 ปี แต่งเรื่อง Lothair(นวนิยาย), เรื่อง Endymeon(นวนิยาย)

นอกจากนี้ยังมีจดหมายและสุนทรพจน์อีกมากมาย บทประพันธ์เหล่านี้ในบางเรื่องก็ประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ แต่บางเรื่องก็ต้องประสบความล้มเหลว ในเรื่องแรก คือ Vivian Gray ได้รับความนิยมและทำชื่อเสียงให้ทันทีเมื่อได้พิมพ์ออกไป ซึ่งหายากมากที่นักประพันธ์จะสร้างชื่อเสียงได้ตั้งแต่อายุแค่ 22 ปี

เขาได้บำเพ็ญตัวเป็นนักเขียนนวนิยายอยู่เสมอ ภายหลังจากที่เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ก็ไม่ได้ทำให้บุคคลผู้นี้ทอดทิ้งการเขียนนวนิยาย หรือเห็นว่าการเขียนนวนิยายเป็นงานที่ต่ำไป ซึ่งเรื่องที่เขาได้เขียนภายหลังจากการเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วคือ Lothair และ Endymeon

ความมักใหญ่ใฝ่สูงอยากเป็นนักการเมือง หลังจากที่ทำชื่อเสียงจากบทประพันธ์พอสมควรแล้ว ทำให้เขาพยายามเข้ารับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้รับความพ่ายแพ้ถึง 3 ครั้ง และในปี พ.ศ. 2380 ก็ได้รับการคัดเลือกเป็นผลสำเร็จ ซึ่งตรงกับปีแรกที่สมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรียได้ขึ้นเสวยราชสมบัติ ในขณะนั้นดิสราเอลีมีอายุได้ 33 ปี

ในการเลือกตั้งชั้นแรก ดิสราเอลี พยายามแข่งขันโดยไม่สังกัดพรรคใด ซึ่งเป็นการยากมากที่จะแข่งขันกับพรรคที่มีหลักฐานมั่งคงมาช้านานในประเทศอังกฤษ ดิสราเอลี ได้เข้าหาเซอร์โรเบิร์ต พีล ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคตอรีส์ เมื่อมีความจำเป็นต้องสังกัดพรรค และได้เข้าสาบานตนเป็นพวกตอรีส์ จนได้รับการเลือกตั้งมา

ดิสราเอลี ได้นั่งข้างหลังเซอร์โรเบิร์ต พีล ฟังคำพูดของสมาชิกทั้งหลายในสภาผู้แทนราษฎร หลังจากได้รับเลือกแล้ว เขาใฝ่ฝันว่าเมื่อไรตัวเขาจะได้พูดเองบ้าง เขาได้หาโอกาสช้านานและได้พูดตามที่ใฝ่ฝันเอาไว้ แต่กลับกลายเป็นฝันร้ายเมื่อเขาได้พูดเข้าจริงๆ ความเป็นเชื้อชาติยิว ที่ได้ทำความลำบากให้เขามาตั้งแต่เล็กๆ ได้ตามมาทำความลำบากให้อีกแม้เวลาที่ได้นั่งในสภาผู้แทนราษฎร เสียงหัวเราะ เสียงผิวปาก เสียงเย้ยหยัน เสียงร้องไห้ มีอยู่ตลอดเวลา ซึ่งบางครั้งทำให้เขาเสียขวัญแต่ก็พยายามทำใจให้สงบ แต่เมื่อสงบต่อไปไม่ไหว พูดต่อไปไม่ได้ ก็ต้องหยุดพูด ก่อนจะนั่งลงเขาได้พูดว่า “คราวนี้ข้าพเจ้าต้องนั่งลง แต่เวลายังจะมีมาข้างหน้า ที่ท่านต้องฟังข้าพเจ้าด้วยความตั้งอกตั้งใจ”

เขาได้รับการปลอบใจจาก เซอร์โรเบิร์ต พีล หัวหน้าพรรค ด้วยคำกล่าวที่ว่า “ความเป็นนักพูดได้มีอยู่ในตัวดิสราเอลีจริงๆ เขาไม่ต้องวิตก วันหนึ่งเขาจะเป็นนักพูดชั้นที่หนึ่งในสภาผู้แทนราษฎร”

ดวงดาวประจำโชคของดิสราเอลีได้ลอยขึ้นอย่างช้าๆ ขึ้นทุกที เมื่อเขาได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อนที่รักกันมาก ชื่อวิมดัม เลวิส ก็ได้รับเลือกพร้อมกัน วินดัม เลวิสเป็นคนมั่งคั่ง มีอายุมากกว่าดิสราเอลีหลายปี หลังจากได้รับเลือกเพียง 6 เดือน วินดัม เลวิส ก็ถึงแก่กรรมลง ทำให้ภรรยาของเขาที่ชื่อว่า มารีอานน์ กลายเป็นแม่หม้ายที่มั่งมี ดิสราเอลีก็ได้ขอแต่งงานกับเธอ แต่เพื่อดูให้รู้จักนิสัยของดิสราเอลีให้ดีเสียก่อน เธอจึงขอผัดไปอีก 1 ปี

ดิสราเอลีได้ใช้ความพยายามอย่างมากในการติดต่อกับมารีอานน์ ด้วยการขอแต่งงาน เขียนจดหมายมากมาย ในตอนแรกๆ ก็ได้รับการตอบรับดี และต่อมาก็ไม่ค่อยได้รับ และก็ไม่รับเลยในที่สุด ซึ่งสรุปได้ว่า มารีอานน์ไม่ยอมแต่งงานกับเขา เพราะเธอเชื่อว่าดิสราเอลีไม่ได้รักเธอจริง แต่รักทรัพย์สมบัติของเธอมากกว่า เพราะเธอมีอายุมากกว่าดิสราเอลีถึง 11 ปี ในขณะนั้นเธอมีอายุ 45 ปี ส่วนดิสราเอลีมีอายุเพียง 34 ปีเท่านั้น ซึ่งเป็นการยากที่จะให้เชื่อว่ามาขอแต่งงานด้วยความรักและบริสุทธิ์ใจ

ดิสราเอลีได้เขียนจดหมายอย่างเผ็ดร้อนเมื่อทราบว่ามารีอานน์ไม่ยอมตกลงใจแต่งงานด้วย ซึ่งเป็นใจความที่แสดงถึงความผิดหวัง และบอกว่าเขาไม่รู้จะทำอย่างไร ก็จำเป็นต้องเลิกละความพยายามตั้งแต่บัดนี้ไป แต่ในตอนท้ายของจดหมายเขาได้ใช้ถ้อยคำคล้ายกับที่พูดในสภาผู้แทนราษฎรว่า “เวลายังมีมาข้างหน้าที่ท่านจะได้ฟื้นความจำถึงหัวใจรักที่ท่านได้กีดกันและหักหลังอย่างสิ้นเชิง” แต่เมื่อมารีอานน์ได้รับจดหมายฉบับนี้ก็ได้รีบตอบตกลงแต่งงานด้วย

ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2382 ดิสราเอลีกับมารีอานน์ ก็ได้แต่งงานกันและมีชีวิตคู่ที่ดีที่สุด ความสุขของชีวิตสมรสไม่ได้ถูกตัดรอนลงไปแม้ภรรยาจะมีอายุมากกว่าสามีถึง 11 ปี ทั้งคู่อยู่ด้วยกันถึง 33 ปี จนดิสราเอลีได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก่อนที่ดิสราเอลีจะได้เป็นนายกในปี พ.ศ. 2411 มารีอานน์ก็ได้เป็นคุณหญิงก่อนแล้ว และเมื่อดิสราเอลีได้เป็นนายกรัฐมนตรี มารีอานน์ก็ได้รับฐานันดรเป็นไวส์เคาน์เดสบีคอนสฟิลด์ เมื่อมารีอานน์มีอายุได้ 79 ปี ก็ถึงแก่กรรมลง ซึ่งเธอเป็นคุณหญิงอยู่ได้แค่ 3 ปี ส่วนในขณะนั้นดิสราเอลีก็มีอายุได้ 68 ปี ดิสราเอลีได้รับแต่งตั้งเหมือนการรับมรดกฐานันดรจากภรรยา คือเป็น เอิร์ล ออฟ บีคอนสฟิลด์ หลังจากภรรยาถึงแก่กรรมได้ 4 ปี

คำพูดครั้งแรกของดิสราเอลีที่ได้กล่าวไว้ว่า “เวลายังจะมีมาข้างหน้า ที่ท่านต้องฟังข้าพเจ้าด้วยความตั้งอกตั้งใจ” นั้น ได้พิสูจน์ตัวของมันเองในเวลาเพียงไม่ช้า เขาได้รับความนิยม ความยำเกรงในรัฐสภามากขึ้นทุกที ความรู้ความฉลาดได้ปรากฏแก่คนทั่วไป เซอร์โรเบิร์ต พีล หัวหน้าพรรคของดิสราเอลี ก็ได้อาศัยเขาเป็นกำลังสำคัญในการโต้ตอบอย่างฉะฉาน การแสดงความ การต่อสู้ด้วยเหตุ ความรู้ และวาทศิลป์ ความโดดเด่นของเขาทำให้ได้มาเป็นมือขวาของหัวหน้าพรรค ได้รับคำชมจากเซอร์โรเบิร์ต พีล ทั้งต่อหน้าและลับหลัง แม้แต่ในสภาเองก็ยอมรับดิสราเอลีเป็นสมาชิกชั้นอาวุโส คนทั้งหลายจะฟังด้วยความตั้งอกตั้งใจทุกครั้งที่เขาพูด นั่นหมายถึงว่าเขาได้สร้างรากฐานที่มั่นคงในทางการเมืองไว้แล้วในอนาคต

แต่ทุกๆ ครั้งที่พรรคของเซอร์โรเบิร์ต พีล ได้มีโอกาสตั้งคณะรัฐบาล ดิสราเอลีก็ไม่ได้เป็นรัฐมนตรี แม้ทุกคนจะคาดหวังไว้ว่าต้องเป็นอย่างนั้น แต่หัวหน้าพรรคก็ไม่เลือกเขา ดิสราเอลีและมารีอานน์ มีความข้องใจสงสัยจึงได้เขียนจดหมายถึงเซอร์โรเบิร์ต พีล เพื่อสอบถามเหตุผลที่ดิสราเอลีไม่ได้เป็นรัฐมนตรี ทั้งๆ ที่เขามีคุณสมบัติพร้อม แต่ก็ได้คำตอบด้วยเหตุผลที่ไม่แจ่มแจ้งจากเซอร์โรเบิร์ต พีล กลับมา

ดิสราเอลีได้พูดกับภรรยาภายหลังจากที่ได้รับจดหมายตอบรับของเซอร์โรเบิร์ต พีล ว่า “เราเห็นจะต้องทำอย่างตาเรลังด์ คือเข้าห้องนอนแล้วนอนหลับ”

ตาเรลังด์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของฝรั่งเศส ทั้งในสมัยของนะโปเลียน และต่อมาอีกในสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 เขาเป็นคนฉลาด มีเล่ห์เหลี่ยมทั้งในทางซื่อและทางคดมากมาย เมื่อเกิดปัญหาไม่มีทางแก้ บุคคลผู้นี้ก็จะมีวิธีการที่รู้กันทั่วไปว่า เขาจะเข้าห้องนอนและนอนหลับ และเมื่อตื่นขึ้นมาก็พบทางที่จะแก้ปัญหานั้นได้ ที่ดิสราเอลีกล่าวก็ด้วยเหตุผลนี้

ความสามารถของดิสราเอลี เซอร์โรเบิร์ต พีล ก็ได้เห็นทุกอย่าง เขารักและวางใจดิสราเอลีมาก แต่ไม่กล้าเสี่ยงยกขึ้นเป็นรัฐมนตรี ด้วยเหตุผลที่ว่า กลัวคนจะไม่ชอบ เนื่องจากดิสราเอลีเป็นชาวยิว กลัวพรรคจะล่ม แม้ดิสราเอลีจะดีสักแค่ไหน ก็ไม่มีทางได้เป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลของเซอร์โรเบิร์ต พีล เป็นอันขาด

แต่ในตอนหลัง ดิสราเอลี ได้เป็นที่นิยมชมชอบของคนหนุ่มๆ ที่ใจเร็วใจร้อน โดยเฉพาะหนุ่มๆ ที่ไปศึกษาหรืออาศัยอยู่ในต่างประเทศ จะมองเห็นว่าคนแก่งุ่มง่ามงมงาย ไม่ทำให้ประเทศชาติก้าวหน้าอย่างที่พวกเขาคาดหวัง ในเวลานั้นด้านอุตสาหกรรมกำลังเจริญขึ้นอย่างมาก การเมืองในภาคพื้นยุโรปกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ แต่รัฐบาลอังกฤษยังอยู่ในมือของคนแก่ที่งุ่มง่าม ไม่กล้าเสี่ยงริเริ่มทำอะไร ด้วยเหตุนี้ทำให้พวกเขาเพ่งเล็งมาที่ดิสราเอลีที่กำลังอยู่ในวัย 40 ปีเศษ ความเป็นยิวของเขาได้จางหายลงไปเป็นอันมาก ด้วยการที่เขาเป็นนักต่อสู้ และได้พิสูจน์ความรู้ ความคิด ให้เห็นแล้วตั้งแต่เข้ามาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คนหนุ่มๆ ที่ต้องการความเจริญก้าวหน้าในประเทศอย่างแท้จริง ก็ไม่มีความรังเกียจดิสราเอลี ถ้าเขาสามารถทำให้ประเทศอังกฤษก้าวหน้าได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ไม่ว่าเขาจะเป็นอะไร คนกลุ่มนี้ก็พร้อมที่จะยกย่องสนับสนุน

เพื่อให้เป็นกำลังสร้างความก้าวหน้าของประเทศอย่างรวดเร็ว คนหนุ่มพวกนี้ก็ได้พากันมาหาดิสราเอลี ขอให้เขาตั้งพรรคการเมือง หรือตั้งสมาคม หรือทำอะไรสักอย่าง

ดิสราเอลีกับมารีอานน์ได้เดินทางไปกรุงปารีสเพื่อท่องเที่ยว และด้วยความสามารถและชื่อเสียงของเขา ทำให้เขาได้รับเชิญไปในงานสโมสรของพระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศส และคนหนุ่มๆ ชาวอังกฤษที่มาอาศัยอยู่ในประเทศนี้ก็เข้ามาร้องขอให้เขาตั้งพรรคการเมืองใหม่ โดยที่พวกเขาจะสนับสนุน จึงทำให้ดิสราเอลีมีความแน่ใจขึ้นมาว่าเขาอาจจะทำงานใหญ่ได้

ดิสราเอลีจึงได้ตั้งพรรคการเมืองใหม่ขึ้นในกรุงปารีส มีชื่อพรรคว่า Young England เมื่อดิสราเอลีแยกไปตั้งพรรคใหม่ พรรคของเซอร์โรเบิร์ต พีล ก็อ่อนกำลังลง สุดท้ายก็ต้องลาออกไป

สมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรียได้แต่งตั้งให้ ลอร์ด สแตนเลย์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี เขาได้ทูลขอดิสราเอลีมาเข้าร่วมคณะด้วย สาเหตุที่ต้องทูลขอเพราะกลัวว่าราชินีจะทรงรังเกียจดิสราเอลีที่เป็นชาวยิว แต่พระนางเจ้าก็ไม่ได้รังเกียจ กลับสนับสนุนให้เอามาร่วมคณะ และให้ตำแหน่งที่สำคัญยิ่ง คือ ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

ดิสราเอลีทำหน้าที่รัฐมนตรีด้วยความสามารถ มีการเข้าออกตามวิถีทางการเมืองที่อาจมีแพ้หรือชนะ แต่ความนิยมเชื่อถือของเขาที่สร้างมาก็ยังมีอยู่เสมอ เขาได้รับการยอมรับว่าเป็นสมาชิกสภาชั้นผู้นำ แม้ฝ่ายตรงกันข้ามก็ยอมรับและสรรเสริญ ในปี พ.ศ. 2409 เขาได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังครั้งสุดท้าย เนื่องจากในปี พ.ศ. 2411 ลอร์ดสแตนเลย์ได้ลาออก พระนางเจ้าวิกตอเรียก็ได้แต่งตั้งให้ดิสราเอลีขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทน ซึ่งขณะนั้นเขามีอายุได้ 64 ปี ส่วนมารีอานน์มีอายุถึง 75 ปีแล้ว

หลายปีก่อนหน้านี้ ดิสราเอลีได้เคยเข้าเฝ้าพระนางวิกตอเรีย พระนางเจ้าทรงเห็นความฉลาด ความสามารถของเขามานานแล้ว และเคยรับสั่งว่า “วันหนึ่งข้างหน้าคงจะมีโอกาสตั้งเขาเป็นนายกรัฐมนตรี” จึงเป็นเรื่องที่ไม่มีใครสงสัยการแต่งตั้งในครั้งนี้

เมื่อดิสราเอลีเข้าไปรับพระราชทานการแต่งตั้ง พระนางเจ้าก็รับสั่งว่า “ต้องจูบมือฉันซิ” เขาไม่ทราบว่าธรรมเนียมการได้รับตราตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นจะต้องจูบพระหัตถ์ของราชินีเพื่อแสงความเคารพและจงรักภักดี แม้จะเป็นเรื่องที่เข้าใจยากสำหรับเขา แต่เมื่อได้รับคำสั่ง เขาก็คุกเข่าลงจูบพระหัตถ์ของราชินีด้วยความเคารพอย่างที่สุด

เพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ก็ได้มีการจัดงานสโมสรอย่างใหญ่ขึ้นในพระราชวัง มารีอานน์ก็ยังไม่ยอมขาดงานนั้นแม้จะมีอายุถึง 75 ปีแล้ว

ดิสราเอลีได้อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพียง 1 ปี เขาก็ล้มป่วยลงต้องพักรักษาตัวอยู่กับบ้าน เมื่อมีปัญหาสำคัญในสภาก็ไม่ได้ไปชี้แจง จนแพ้มติที่สภาต้องลาออก พระราชินีได้พระราชทานและบำเหน็จ และฐานันดร ลอร์ดบีคอนสฟิลด์ ให้แก่เขา แต่เขาก็ปฏิเสธฐานันดรนั้น และได้ทูลขอฐานันดรคุณหญิงให้กับภรรยาแทน พระนางเจ้าวิกตอเรียก็ทรงอนุมัติตามที่ขอ มารีอานน์ได้รับฐานันดรเป็น ไวสเคาน์เตส บีคอนสฟิลด์ ในขณะนั้นเธอมีอายุได้ 76 ปีแล้ว และสามีก็ไม่มีฐานันดรอะไร

เป็นเวลา 3 ปี ที่มารีอานน์ได้ครองตำแหน่งคุณหญิง เนื่องจากเมื่อเธออายุได้ 79 ปี เธอก็ถึงแก่กรรมลง

ในปี พ.ศ. 2417 ดิสราเอลีได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีใหม่อีกครั้ง ตอนนั้นเขามีอายุได้ 70 ปีพอดี ชีวิตอันยิ่งใหญ่ของดิสราเอลีตั้งต้นเมื่ออายุ 70 ปี เนื่องจากในคราวนี้เขาได้ทำงานใหญ่อย่างแท้จริง

กล่าวได้ว่าสมัยนั้นไม่มีใครทัดเทียมอังกฤษ ซึ่งเป็นยุคที่อุตสาหกรรมได้ก้าวหน้าไปอย่างใหญ่หลวง เกิดเครื่องจักรใหม่ๆ ขึ้นมากมาย ได้มีการส่งเสริมการประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์ขึ้น ดิสราเอลีสามารถดึงเอาอำนาจครอบครอง คลองสุเอช ที่ฝรั่งเศสเป็นผู้ขุด มาไว้ในมือของตัวเองด้วยความฉลาดและวิธีการอันสุขุมลึกซึ้ง เรื่องคลองสุเอชเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ เพราะประตูแห่งความเป็นจ้าวโลกจะอยู่ที่นั่น

การได้คลองสุเอชมา ทำให้อินเดียต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2419 ดิสราเอลีได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกสมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรียขึ้นเป็นพระนางเจ้าจักรพรรดิแห่งอินเดีย เป็นงานชิ้นงามที่นายกรัฐมนตรีคนอื่นไม่สามารถทำได้ ซึ่งถือเป็นฐานะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่รัฐบุรุษสามารถจะถวายแก่พระมหากษัตริย์ของเขา และในปีเดียวกันนี้ สมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรีย ก็ได้พระราชทานฐานันดร เอิล์ล ออฟ บีคอนสฟิลด์ ให้แก่ดิสราเอลี ซึ่งเป็นตำแหน่งที่รับมรดกมาจากภรรยาของเขาเอง

ในเวลานั้น ปัญหาเรื่องแหลมบอลข่าน เรื่องตุรกี เรื่องรัสเซีย เป็นปัญหาที่ร้ายแรงเต็มไปด้วยความปั่นป่วน แต่เยอรมนีกำลังรุ่งโรจน์ใหญ่หลวงเหมือนจะเป็นจ้าวภาคพื้นยุโรปทางตะวันตก ดิสราเอลีได้ดำเนินนโยบายอย่างฉลาดยิ่ง งานของเขาในตอนนี้เป็นเรื่องที่ผู้ศึกษาการเมืองต่างประเทศจะต้องถือเป็นบทเรียน เขาทำงานอย่างใจเย็น เงียบสงบ ลงมือทำในสิ่งที่ต้องทำเมื่อถึงเวลาอย่างแท้จริง เขาจะดำเนินการอย่างเหมาะสมแก่เวลา และสถานการณ์ แก้ปัญหาทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้น และแก้ได้สำเร็จเรียบร้อย จึงนับได้ว่าดิสราเอลีเป็นรัฐบุรุษชั้นหนึ่งของโลก

ดิสราเอลีได้เดินทางเข้าประชุมเรื่องสำคัญที่เบอร์ลินด้วยตนเอง ในขณะนั้นเขามีอายุได้ 74 ปีแล้ว และได้เผชิญหน้ากับรัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของเยอรมนี ที่ชื่อ บีสมาร์ค บีมาร์คมีอายุอ่อนกว่าดิสราเอลี 10 ปี มีการเล่ากันมาถึงคำพูดของบีมาร์คที่พูดถึงดิสราเอลีว่า “ตายิวแก่นี่เป็นลูกผู้ชายแท้”

ในปี พ.ศ. 2423 ดิสราเอลีมีอายุได้ 76 ปี และได้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และผ่านมาอีก 1 ปี ในวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2424 เขาก็ได้ถึงแก่กรรมลง

บ้านของดิสราเอลีมีอยู่ 2 แห่ง คือ แห่งหนึ่งอยู่ในกรุงลอนดอน อีกแห่งหนึ่งเป็นคฤหาสน์ ชื่อ ฮูเกนเดน ตั้งอยู่นอกเมือง ซึ่งเขาซื้อให้ภรรยาเมื่อราว 30 ปีมาแล้ว ในวาระสุดท้ายของชีวิตเขาก็อยู่ในบ้านที่กรุงลอนดอน

เขาได้อยู่ในความดูแลรักษาของแพทย์ที่ดีที่สุดในอังกฤษ ซึ่งเป็นนายแพทย์ประจำพระองค์ของพระราชินี เมื่อดิสราเอลีได้ฐานันดรเป็นขุนนาง ก็ได้เป็นสมาชิกแห่งสภาขุนนาง ได้รับความนับถือเป็นสมาชิกอาวุโสสูงสุด เขาจะออกมาเพื่อกล่าวสุนทรพจน์ หรือแสดงปาฐกถาคล้ายกับให้โอวาทคำสอนแก่สมาชิกทั้งหลายนานๆ ครั้ง เขาต้องพูดด้วยความยากลำบากเพราะความอ่อนแอในร่างกายและโรคภัยไข้เจ็บ แต่ทุกคำพูดที่ออกมา ฟังดูไพเราะ เต็มไปด้วยวาทศิลป์ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีแก่นักพูดรุ่นหลัง เมื่อใกล้ถึงแก่กรรม ร่างกายของเขาซูบผอมมาก มีแต่หนังหุ้มกระดูกเท่านั้น มีความชราภาพและโรคภัยไข้เจ็บอยู่เสมอ ผู้ที่ไปพบเห็นเข้าก็ต้องประหลาดใจที่เขายังมีชีวิตอยู่ได้

ดิสราเอลียิ่งพิถีพิถันในการปาฐกถาสุนทรพจน์มากขึ้น เมื่อใกล้ถึงเวลาสิ้นชีพ เขาต้องเขียนร่างเอาไว้ก่อนไม่ยอมพูดด้วยปากเปล่า โดยให้เลขานุการประจำตัวเขียนสุนทรพจน์เรื่องหนึ่งไว้เพื่อนำไปพูด ในคืนวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2424 ก่อนเข้านอน เขาได้นำสุนทรพจน์นั้นมาตรวจทานแก้ไขอีกครั้ง เขาได้พูดกับเลขานุการว่า “ฉันไม่อยากให้ใครมาตรวจพบว่าฉันพูดอะไร พูดผิดไวยากรณ์ไป”

วันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2424 ที่เขาสิ้นชีวิตลง จากคำบอกเล่าของคนที่นอนเฝ้าอยู่บอกว่า ในเวลา 02.00 น. ตอนกลางดึก ดิสราเอลีได้ตื่นขึ้นมา เขาเอาร่างสุนทรพจน์มาทำท่าเหมือนจะซ้อมอ่าน แต่เขาก็ผงะหงายลงและถึงแก่ความตาย

ศพของดิสราเอลีได้ถูกฝังไว้ที่ ฮูเกนเดน บ้านของเขาเอง เนื่องจากเขาได้ทำพินัยกรรมไว้ว่า ห้ามมิให้เอาศพของเขาไปฝังในโบสถ์เวสต์มินสเตอร์ ซึ่งเป็นที่ฝังศพของคนใหญ่คนโตทั้งหลาย

พระราชินีวิกตอเรียได้เสด็จไปยังที่ฝังศพของเขาด้วย เพราะถือว่าดิสราเอลีเป็นมหามิตร เป็นผู้ทำความดีอันยิ่งใหญ่ สามารถถวายฐานันดรพระนางเจ้าจักรพรรดิแด่พระองค์ได้ ขณะนั้นพระนางเจ้าวิกตอเรียมีพระชนม์ได้ 69 พรรษา และเมื่อ พ.ศ. 2444 ก็เพิ่งมาสิ้นพระชนม์ ทรงมีประชนม์ยืนยาวถึง 82 พรรษา

ความคล้ายคลึงและความแตกต่างระหว่างเซอร์วอลเตอร์ ราเล่ กับ เอิร์ล ออฟ บีคอนสฟิด์ มีอย่างไรบ้างลองมาเปรียบเทียบดู

ในสมัยนั้น อังกฤษมีสถาบันการศึกษาถึงมหาวิทยาลัยแล้ว แต่ทั้งสองก็มิได้รับการศึกษาถึงขั้นสูง เรียนอยู่ 2-3 ปี แล้วก็เลิกไป แต่สุดท้ายก็ปรากฏว่า ทั้งสองคนมีวิชาความรู้ จะสังเกตเห็นว่าบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่มักเป็นผู้ที่ได้รับการศึกษาจากโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยน้อย และอาจคิดว่าไม่ได้ศึกษาขั้นสูงเหมือนคนอื่น จึงได้พยายามค้นคว้าหาความรู้ด้วยตัวเองมากๆ จนกลายเป็นคนมีความรู้ขึ้น และผู้ที่ได้รับการศึกษาในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยจนถึงชั้นสูงแล้ว หากพยายามค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมอีก ก็ย่อมจะอยู่เหนือกว่าคนที่ไม่ได้เล่าเรียน เพราะมีทางที่จะค้นคว้าได้ดีกว่า แต่มีน้อยคนนักที่จะเสาะแสวงหาความรู้ต่อไปอีก

วิธีการก้าวขึ้นสู่ความยิ่งใหญ่ของทั้งสองคนนี้จะแตกต่างกันมาก สำหรับราเล่ต้องเสี่ยงโชคอยู่ตลอดเวลา เริ่มตั้งแต่อาสาไปรบในฝรั่งเศส ไอร์แลนด์ และมีชีวิตแบบผจญภัยต่างๆ ส่วนดิสราเอลีไม่ได้มีความเสี่ยงภัยแบบนั้น แต่เขาพยายามสร้างความก้าวหน้าอย่างมั่นคง การเสี่ยงอาจจะทำให้ก้าวหน้าขึ้นสู่ความยิ่งใหญ่ได้อย่างรวดเร็วกว่า แต่การสร้างอนาคตด้วยการเสี่ยงนั้นก็ต้องเสี่ยงไปตลอดชีวิต ตลอดเวลา และอาจจะมีพลาดบ้าง ชีวิตของราเล่ขึ้นสูงได้ด้วยการเสี่ยง แม้จะอยู่ในฐานะที่สูงแล้วก็ยังรู้สึกว่าตัวต้องเสี่ยงอยู่เสมอ จากที่เขาเอาเพชรจารึกไว้ที่กระจกว่า เขากลัวจะตกอยู่เสมอ แต่การสร้างชีวิตอย่างดิสราเอลีไม่มีการเสี่ยง ไม่ต้องกลัวตก การสร้างชีวิตและอนาคตโดยไม่เสี่ยงนั้นอาจเป็นการเฉื่อยช้าในการขึ้นสู่ความยิ่งใหญ่ กว่าจะบรรลุถึงขั้นยิ่งใหญ่ที่ปรารถนาก็ต้องใช้เวลานานมาก แต่ความยิ่งใหญ่เช่นนี้ย่อมมีความมั่นคงและถาวร

ราเล่เป็นคนเสี่ยง อายุเพียง 31 ปี เขาก็ได้ขึ้นสู่ความยิ่งใหญ่แล้ว เขามีทุกอย่างที่ต้องการ แต่ก็ยังเป็นการเสี่ยงอยู่นั่นเอง

วิธีการของคนทั้งสองในการเกี่ยวข้องกับท่านผู้ใหญ่ จะแตกต่างกันมาก ราเล่พยายามเข้าหาพระราชินีของเขา พยายามแสวงหาความโปรดปรานในทางส่วนตัว แต่ดิสราเอลีกลับพยายามรักษาระยะห่าง ดิสราเอลีทำทุกอย่างเพื่อราชินีของเขาด้วยความรักแต่ไม่ยอมเป็นคนสนิทสนม ซึ่งวิธีการรักษาระยะห่างและให้ความเคารพนบนอบอยู่ห่างๆ นั้น เป็นวิธีการที่ดีมาก

ความมั่งคั่งที่เกิดขึ้นกับราเล่ จากการได้รับพระราชทานทรัพย์สินมากมาย เป็นเรื่องที่ฆ่าตัวเขาเอง เพราะการทำอะไรแล้วต้องการให้เกิดผลประโยชน์แก่ตนเอง ผู้คนก็จะมองในแง่ร้าย ไม่ว่าจะทำดีแค่ไหนก็จะถูกลบล้างไปหมดสิ้น ส่วนดิสราเอลีไม่ยอมรับอะไรเป็นของตัว แม้แต่คฤหาสน์ก็พยายามซื้อมาเอง ซึ่งถ้าเขาจะขอพระราชทานจากพระราชินีก็ย่อมทำได้ แต่เขาก็ไม่ทำ แม้แต่ยศที่พระราชินีจะประทานให้ในครั้งแรกก็ไม่ยอมรับ แต่กลับไปขอฐานันดรให้กับภรรยา และนี่คือการสร้างชื่อเสียงที่ดีขึ้นอีกทางหนึ่ง นอกจากจะเป็นรัฐบุรุษที่ดีแล้ว เขายังเป็นสามีที่ดีอีกด้วย สามารถอยู่กับภรรยาที่มีอายุมากกว่าถึง 11 ปี โดยมีความประพฤติดีมาตลอด ในฐานะทางการเมือง ความเป็นอยู่ในครอบครัวก็มีความสำคัญอย่างหนึ่งเช่นกัน ในสายตาของคนทั้งหลาย การขอพระราชทานฐานันดรให้แก่ภรรยาโดยที่ตัวเองไม่รับนั้น เป็นความน่ารักน่าเอ็นดู

ความแตกต่างที่สำคัญของบุคคลทั้งสองก็คือ ดิสราเอลีมีความเป็นตัวของตัวเอง แต่ราเล่ไม่เป็นเช่นนั้น ราเล่ได้มอบตัวเองให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่พระราชินี ซึ่งไม่มีทางที่จะดิ้นหลุดตั้งแต่ได้ก้าวขึ้นสู่ความยิ่งใหญ่มา แม้พระราชินีจะมีพระชนม์ถึง 60 พรรษาแล้วก็ยังไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้ พอลอบแต่งงานก็เกิดเรื่องถึงต้องจำคุก และไม่เคยมีเวลาเป็นของตัวเองเลย การกระทำของเขาทำให้ต้องตกอยู่ในอำนาจของผู้อื่นตลอดชีวิต ไม่พยายามหลบหลีกหรือกู้ตัวเอง ยอมอาสาจนตัวตาย

แต่ดิสราเอลีไม่เป็นเช่นนั้น แม้ว่าเขาจะได้สาบานเข้าอยู่ในพรรคของเซอร์โรเบิร์ต พีล และทำประโยชน์ให้อย่างที่สุดแล้ว แต่เมื่อปรากฏว่าเขากลายเป็นเครื่องมือให้คนอื่น เขาต้องหาหนทางอื่น เราอาจจะเห็นว่าเป็นความไม่ซื่อสัตย์ก็ได้ จากการที่ดิสราเอลีฝ่าฝืนคำสาบานของตนแล้วออกไปตั้งพรรคใหม่ จนทำให้พรรคของเซอร์โรเบิร์ต พีล อ่อนกำลังลงจนไม่สามารถเป็นรัฐบาลอยู่ต่อไปได้ แต่เราอาจจะไม่ตำหนิดิสราเอลีมากนัก ถ้าคิดกันตามความยุติธรรมว่ามนุษย์เราต้องเป็นตัวของตัวเองบ้าง

ความซื่อสัตย์และจงรักภักดีเป็นของดีมาก แต่บางทีในทางโลกเราก็ต้องซื่อเฉพาะคนที่ซื่อกับเรา รักเฉพาะคนที่รักเรา ภักดีเฉพาะคนที่ดีกับเรา ผู้ที่ไม่ซื่อสัตย์กับเราก็ไม่จำเป็นต้องซื่อสัตย์ ไม่จำเป็นต้องรักคนที่ไม่รักเรา ไม่จำเป็นต้องภักดีต่อผู้ที่ไม่ดีกับเรา ดิสราเอลีเป็นผู้ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้เพราะถือหลักอันนี้ ลองคิดดูว่า หากเขายังจงรักภักดีต่อเซอร์โรเบิร์ต พีล อยู่ แม้จะไม่แต่งตั้งเขาเป็นรัฐมนตรีถึงสองครั้ง และยอมเป็นเครื่องมือให้คนอื่นอยู่เรื่อยไป นอกจากจะไม่ได้รับความยิ่งใหญ่แล้ว เขาอาจจะต้องกลายเป็นคนที่เลวร้ายที่มหาชนไม่ต้องการไปเสียอีกด้วย

ความแตกต่างอีกอย่างหนึ่งก็คือ แม้รู้ว่ามีศัตรู มีคนกล่าวร้ายใส่โทษ ราเล่ก็เพิกเฉยต่อศัตรู ไม่พยายามต่อสู้หรือหาทางแก้ไข โดยถือสุภาษิตว่า สุนัขเห่าแต่คนที่มันไม่รู้จัก และไม่ได้พยายามทำตัวให้คนรู้จัก หรือรู้ความจริงว่าเป็นอย่างไร เชื่อว่าบารมีของพระราชินีจะคุ้มครองตัวอยู่ได้เสมอ ปล่อยให้เสียงนินทากระพือเรื่อยไป ซึ่งตรงข้ามกับดิสราเอลี ที่ไม่ยอมให้มีการกล่าวร้ายอย่างนั้น ถ้ามีก็รีบระงับ แม้ในตอนเป็นเด็กที่ถูกเรียกว่า ต่างชาติ เขาก็ไม่ยอม

ราเล่เป็นนักรบ นักผจญภัย ที่กล้าเสี่ยงมาในตอนแรกๆ แต่ในตอนกลางและปลายของชีวิตหลังจากขึ้นสู่ความยิ่งใหญ่แล้ว เขาไม่ต่อสู้อะไรเลย ปล่อยชีวิตไปตามบุญตามกรรม จากเหตุนี้ก็ได้ที่ทำให้เขาเกิดความล่มจมขึ้น แต่ดิสราเอลี ต้องต่อสู้อยู่ตลอดเวลาอย่างไม่ลดละ

ความนึกคิดของเราเองเป็นเครื่องวินิจฉัยความแพ้ชนิด ตราบใดที่เรายังไม่แพ้ ตราบนั้นเราก็ยังไม่แพ้ แต่ในทันทีที่เราคิดว่าแพ้เราก็จะแพ้ทันที ชีวิตคือการต่อสู้ ชีวิตเป็นสงคราม สงครามแห่งชีวิตร้ายแรงกว่าสงครามแห่งประเทศ หรือสงครามโลก เพราะสงครามแห่งประเทศหรือสงครามโลกยังสามารถทำให้เกิดความสันติภาพได้ แต่สงครามชีวิตไม่รู้จะไปทำสันติภาพกับใคร สงครามระหว่างประเทศหรือสงครามโลกนั้นกำลังทรัพย์และกำลังอาวุธมีความสำคัญมาก ส่วนสงครามชีวิต กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

ในการทำสงครามจะมีการสู้รบกันอย่างธรรมดา หากข้าศึกล้อมรอบตัวเข้ามาจนเหลือแต่ป้อมปราการชั้นใน เราอาจพ่ายแพ้เพราะหมดกำลังและเสบียงอาหาร แต่ในสงครามชีวิตนั้น ดวงจิตของเราคือป้อมปราการที่สำคัญชั้นที่หนึ่ง ถ้าใจเรายังดีอยู่ ศัตรูจะตีมาสักเท่าใดก็ไม่สามารถจะทำให้เราพ่ายแพ้ไปได้

ไม่มีใครจะมาบันดาลให้ชีวิตเราเป็นไปได้ นอกจากดวงใจของเราเอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตเป็นเหมือนดาบสองคม สุดแล้วแต่เราจะจับมันด้านไหน หากจับทางคมมันก็จะบาดมือเรา แต่ถ้าจับทางด้ามก็จะเป็นประโยชน์ต่อเราได้ สงครามแห่งชีวิตก็เช่นเดียวกันเราต้องจับให้ตรงด้ามเสมอ เรื่องราวของคนทั้งสองแสดงให้เห็นว่า ดิสราเอลีจับดาบตรงด้ามได้ทุกครั้ง ส่วนราเล่คว้าทางคมดาบทุกที

ชีวิตของมนุษย์จะประสบความสำเร็จ หรือล้มเหลว ขึ้นอยู่กับว่ามีกำลังจากภายในแรงพอจะต้านทานกำลังบีบจากภายนอกหรือไม่ เนื่องจากกำลังบีบจากภายนอกนั้นแรงมาก หากเราไม่มีกำลังภายในพอ เราจะถูกบีบจนแบน เกิดความล้มเหลวในชีวิต แต่ถ้ากำลังจากภายในเท่ากับภายนอก ก็จะสามารถทรงตัวอยู่ได้ แต่ถ้ามีกำลังจากภายในมากกว่าภายนอก เราก็จะสามารถเติบโตได้กว่าผู้อื่นที่มีกำลังน้อยกว่าเรา กำลังอันภายในอันนี้พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า “สัมมาวายามะ” เป็นมรรคข้อหนึ่ง ซึ่งมีความสำคัญมากในทางพระพุทธศาสนา

หลักธรรมของพระพุทธเจ้าถือว่า ชีวิตเป็นทุกข์ คำว่า ทุกข์ แปลว่า “ยาก” หมายความว่า ชีวิตเป็นของยาก การที่จะได้เกิดมาเป็นคนก็ยากส่วนหนึ่งแล้ว แต่การดำรงชีวิตยังจะยากมากขึ้นไปอีก และจะมีความยากขึ้นไปอีกถ้าต้องการทำให้ชีวิตยิ่งใหญ่มั่นคงถาวร การดำรงชีวิตเป็นของยากที่จะเผชิญและเอาชัยแก่ความผิดหวัง อุปสรรค ความสูญเสีย และความล้มเหลว การดำรงชีวิตต้านทานความบีบคั้น หลีกเลี่ยงการประทุษร้าย หรือการเข้าใจผิดของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันก็เป็นการยากเหลือเกิน

นักคิดนักปรัชญาทั้งหลาย จึงให้หลักที่สอดคล้องต้องกันเพื่อเอาชนะหรือข้ามพ้นความยากนี้ ด้วยว่าชีวิตนี้ไม่สำคัญ การตัดสินใจว่าจะทำให้ชีวิตเป็นอย่างไรสำคัญมากกว่า ชีวิตมนุษย์มักจะเป็นไปตามที่เจ้าของอยากให้เป็น เราอาจต้องพบกับปัญหาที่รุนแรง ความรับผิดชอบที่หนักมาก อาจเกิดความท้อถอย หมดกำลังที่จะต่อสู้ แต่ถ้าใจเราไม่ยอมแพ้ และต่อสู้กับความกดดันจากภายนอกได้ เราก็จะรักษาชีวิตของเราให้ดีได้ ถ้าหมดกำลังใจอาจทำให้เราต้องประสบกับความล้มเหลวก็เป็นได้

พูดถึงตัวเอง ที่ฝรั่งเรียกว่า Self นั้น มีอยู่หลายตัวในมนุษย์ ตัวของเราที่คนอื่นมองเห็น กับที่ตัวเราเห็นเองนั้น เป็นคนละตัวกัน ยิ่งกว่านั้น ตัวที่เราเห็นของเราเอง กับตัวที่เป็นจริงแท้ๆ ก็เป็นคนละตัวอีก คนเรามีอย่างน้อยที่สุดอยู่ 3 ตัว คือ ตัวที่คนอื่นเห็นอาจจะเป็นไปได้ต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเห็นไปในทางที่ไม่ดี เพราะตามปกติของคนในโลกชอบมุ่งมองในแง่ร้าย สิ่งที่ร้ายมองเห็นง่ายกว่าสิ่งที่ดี มองแล้วสนุกกว่า ดังนั้นหากเราฟังเสียงจากคนอื่นมากๆ เราก็จะพบว่าตัวเราค่อนข้างเลวร้าย

อีกตัวหนึ่ง คือตัวที่เราเห็นของเราเอง เราเป็นอย่างที่เราเป็น แต่เราไม่ได้เป็นอย่างที่คนทั้งหลายคิด ไม่ว่าคนทั้งหลายจะคิดอย่างไรก็ตาม ตัวที่เราเห็นของเราเองนั้นมีความสำคัญมากกว่า

แต่การที่เราจะมองเห็นตัวเองนั้นไม่ใช่การง่าย โดยเฉพาะตัวตนที่แท้จริงนั้นเห็นได้ยากมาก ด้วยเหตุนี้ลัทธิศาสนาบางศาสนาจึงได้สอนว่าการเห็นตัวเองเท่ากับเห็นพระเจ้าหรือเห็นพรหม และมีหลักปรัชญามากมายที่สอนให้พยายามรู้จักตัวของตัวเอง

เป็นปัญหาที่โต้เถียงกันมาก ว่าเสียงของผู้อื่นที่เรียกว่า “เขาว่า” นั้น ควรสนใจเพียงใด บางความเห็นก็ว่ามีความสำคัญมากเหมือนกัน เพราะเราจะไม่สนใจเสียเลยก็ไม่ได้ เราต้องติดต่อกับคนทั้งหลาย และเขาเหล่านั้นก็มองดูเราอย่างที่เขาเห็น ในอีกความคิดเห็นมองว่า การเอาใจใส่ในเสียง “เขาว่า” หรือคำพูดของคนอื่นมีแต่ทำความยุ่งยากลำบากให้ และไม่เป็นประโยชน์แต่อย่างใดเลย

มีเรื่องเล่ากันว่า บุคคลหนึ่งไว้หนวดยาวมาก และเขาเองก็ภาคภูมิใจ วันหนึ่งเมื่อเขาถูกคนถามว่า เวลาที่เขานอนเขาเอาหนวดนี้ไว้นอกหรือในผ้าห่มนอน เขาตอบไม่ได้ เพราะถึงแม้จะเคยมีหนวดยาวมาหลายสิบปีแล้ว ก็ไม่เคยกังวลถึงเรื่องที่จะเอาหนวดไว้นอกหรือในผ้าห่ม ในบางวันอาจจะอยู่นอกหรือในก็ได้ ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญอะไร

แต่พอถูกถามเข้าเช่นนั้น ก็เก็บเอามาคิด เมื่อถึงเวลานอนก็ตั้งปัญหากับตัวเองว่า จะเอาหนวดไว้นอกหรือในผ้าห่ม ถ้าเอาไว้ในคงรู้สึกไม่สบาย ถ้าเอาไว้นอกผ้าห่มคงจะเห็นรูปร่างและสภาพที่น่าเกลียดของเขา เขานอนหลับด้วยความยากลำบากที่สุดในคืนนั้น เพราะปัญหาที่ว่าไม่รู้จะเอาหนวดไว้ในหรือนอกผ้าห่ม ปัญหานี้เกิดขึ้นเมื่อมีคนถามแต่ไม่เคยมีมาก่อนหน้านี้

เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า ในบางเรื่องเราไม่เคยสนใจเกี่ยวกับตัวเราเอง เพิ่งจะมาสนใจก็ต่อเมื่อมีคนมาถามขึ้น เสียงคนอื่นก็มีประโยชน์และสำคัญหากเรารู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ในทางที่จะแก้ไขตัวเราเอง

แต่ก็ดูเหมือนจะมีความจำเป็นอยู่อย่างหนึ่ง คือ เสียงที่กล่าวร้ายนั้นปล่อยไว้ไม่ได้ ถ้าปล่อยไว้ยิ่งจะขยายตัวออกไปทุกที เพราะมนุษย์เราชอบฟังเรื่องร้าย ถ้อยคำที่กล่าวร้ายย่อมแพร่หลายออกไปได้เร็วกว่าคำพูดที่ดี เราอาจมีศัตรูเป็นคนที่ไม่เคยเห็นหรือรู้จัก เป็นผู้ที่เราไม่เคยประทุษร้าย ไม่เคยทำอะไรให้ แต่กลับเป็นศัตรูที่ร้ายแรงเกลียดชังเรามาก เนื่องจากเขาได้ฟังเสียงกล่าวร้ายกระจายออกไป ถ้าเราปล่อยไว้เช่นนี้ การแก้ไขก็จะยากมาก

บางที ราเล่อาจจะทำผิดในข้อนี้เป็นสำคัญ คือ เมื่อตัวได้ก้าวขึ้นสู่ความเป็นที่โปรดปรานของพระราชินี และมีความมั่งคั่งขึ้น เป็นธรรมดาที่ต้องเกิดเสียงนินทาว่าร้าย เขาไม่ได้ระงับสิ่งนี้ และไม่ได้หาทางต่อสู้ป้องกัน มัวไปทุ่มเทและไว้วางใจในความโปรดปรานของพระราชินี ความล่มจมจึงมาถึงตัวด้วยเหตุนี้ ส่วนดิสราเอลีมีวิธีการที่ตรงกันข้าม คือถ้ามีเสียงกล่าวร้ายเขาจะพยายามระงับเสียงนั้นทันที
ที่มา:พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ