อ่างอาบน้ำในวรรณคดี

Socail Like & Share

อ่างเป็นภาชนะใหญ่เตี้ยและปากผายทำด้วยดินเผา ซึ่งมีใช้กันแทบทุกบ้าน สมัยก่อนนี้อ่างเป็นเครื่องใช้ที่จำเป็น เพราะใช้สำหรับใส่สิ่งของ เช่น กะปิ เป็นต้น อ่างกะปิเรายังเห็นใช้อยู่จนทุกวันนี้

นอกจากนี้ อ่างนิยมใช้กันอีกอย่างหนึ่ง คือสำหรับเป็นภาชนะอาบน้ำให้เด็ก ซึ่งเราเรียกว่าอ่างอาบน้ำ เด็กไทยทุกคนต้องอาศัยอ่างอาบน้ำมาแล้วทั้งนั้น

เมื่อพูดถึงอ่างน้ำแล้ว ก็อดที่จะพูดถึงเรื่องการอาบน้ำของคนเราไม่ได้ ว่ากันว่ามนุษย์เรานั้นถ้าไม่รู้จักทำความสะอาดร่างกายของตนเองแล้ว จะเป็นสัตว์โลกที่สกปรกและมีกลิ่นที่ออกจะรุนแรงกว่าสัตว์โลกชนิดอื่น ดังนั้น คนเราจึงต้องชำระร่างกายด้วยน้ำอยู่เสมอ

พวกพราหมณ์ถือว่า น้ำเป็นสิ่งที่ชำระร่างกายและจิตใจให้บริสุทธิ์ เมื่อจะทำกิจการอะไรจึงต้องมีการชำระร่างกายให้หมดจดมลทินเสียก่อน แต่การอาบน้ำของพราหมณ์ที่สำคัญในชีวิตก็คือ อาบเมื่อแรกเกิด อาบเมื่อสมรส และอาบเมื่อตาย

การอาบน้ำสำหรับคนแต่ละชาติแต่ละภาษานั้นมีกรรมวิธีไม่เหมือนกัน อย่างในประเทศร้อน ก็อาจจะอาบน้ำในแม่น้ำและลำคลองได้ เพราะอากาศร้อน ไม่จำเป็นต้องต้มน้ำเสียก่อน แต่ในประเทศหนาวนั้น การจะอาบน้ำในแม่น้ำลำคลองในฤดูหนาว คงจะไม่มีใครที่ใจกล้าเสี่ยงต่อความเจ็บไข้ได้ป่วย พวกที่อยู่ในประเทศหนาวจึงต้องทำห้องน้ำ และต้องต้มน้ำให้ร้อนเสียก่อนจึงจะอาบได้

การอาบน้ำสำหรับคนไทยเรา ซึ่งเป็นชาวบ้านทั่วๆ ไปสมัยก่อน ก็อาบกันตามแม่น้ำลำคลองหรือลำธาร หรือตามบ่อสระ ต่อมาเมื่อบ้านเมืองเจริญขึ้น การที่จะอาบน้ำให้ประเจิดประเจ้อในเมืองที่มีคนมาก ดูจะไม่เหมาะสมนัก คนไทยเราทุกวันนี้จึงสร้างห้องน้ำและอาบน้ำกันในห้องน้ำอย่างมิดชิด นอกจากประชาชนตามบ้านนอกเท่านั้นที่ยังอาบน้ำแบบเดิมกันอยู่

แต่สำหรับคนชั้นสูง เช่น ข้าราชการผู้ใหญ่ และพระยา พระมหากษัตริย์ มีห้องอาบน้ำหรือห้องสรงน้ำนานมาแล้ว เรารู้จักใช้ฝักบัวหรือที่เรียกว่าสุหร่ายมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา อย่างที่ปรากฏในหนังสือเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนพลายแก้วชวนนางพิมอาบน้ำตอนหนึ่งว่า

“พลายแก้วลุกแล้วชวนน้องรัก    ร้อนนักไปอาบน้ำบ้างเถิดหนอ
นางพิมพ์ฟังว่าไม่รารอ            จูงข้อมือเจ้าพลายนั้นเดินมา
ย่องเหยียบพอดังเกรียบกรอบลั่น    ศรีประจันทักไปนั่นใครหวา
เจ้าพลายสะกิดพิมพ์ให้เจรจา    ฉันเองคะออกมาจะอาบน้ำ
ครั้นถึงอ่างวางอยู่ที่นอกชาน    สองสำราญขึ้นนั่งบนเตียงต่ำ
จึงไขน้ำจากบังตะกั่วทำ        น้ำก็พร่ำพรายพรูดูกระเด็น”

นอกจากนี้ ในวรรณคดีต่างๆ ก็ยังพูดถึงเรื่องอาบน้ำฝักบัวไว้อีกหลายเรื่อง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนชั้นสูงของเรามีวิธีการอาบน้ำด้วยฝักบัวกันมานานแล้ว แต่คนไทยเราก็ยังมิได้มีการลงไปแช่ในอ่างนอกจากจะตักน้ำมารดตัวหรือใช้ไขน้ำจากฝักบัวกัน ต่อมาน้ำฝักบัวนั้นมีการใช้กันทั่วๆ ไป เมื่อมีน้ำประปาใช้กันทั่วไปแล้ว

ต่อมาเมื่อพวกฝรั่งได้เข้ามาตั้งรกรากหลักฐานในเมืองไทยมากขึ้น และคนไทยได้ไปศึกษามาจากต่างประเทศมากขึ้น อ่างอาบน้ำแบบฝรั่งคือเป็นรูปร่างยาวลึกพอที่คนจะลงไปนอนอยู่ได้เมื่อต้องการจะอาบน้ำจึงมีใช้ในบ้านของคนมีอันจะกินมากขึ้น แต่ก็ยังไม่เป็นที่นิยมกันในหมู่คนไทยทั่วๆ ไป บางคนไม่รู้ไปด้วยซ้ำว่า อ่างอาบน้ำฝรั่งนั้นเขาอาบกันอย่างไร มีเรื่องเล่ากันว่า สมัยหนึ่ง รัฐบาลได้ส่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไปทัศนาจรเมืองนอก เขาจัดให้พักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง แล้วเหตุการณ์เรื่องอาบน้ำในห้องน้ำก็เกิดขึ้น เพราะมีท่านสมาชิกคนหนึ่งอาบน้ำในห้องน้ำแล้ว น้ำเกิดล้นออกมานอกห้อง พนักงานของโรงแรมต้องโกลาหลจัดการกับน้ำที่เอ่อนองออกมานั้น ได้ความว่า ท่านสมาชิกผู้นั้น ท่านเปิดน้ำใส่อ่างน้ำแล้วเอาขันน้ำตักน้ำอาบอย่างเราตักน้ำจากโอ่งอาบนั่นแหละ ทีนี้ห้องน้ำของฝรั่งนั้น เขาไม่ได้ทำทางระบายน้ำไว้ตรงพื้นเหมือนของเรา เพราะเขาไม่อาบน้ำนอกอ่าง เขามีทางระบายน้ำในอ่างแห่งเดียว เมื่อท่านสมาชิกตักน้ำออกมาอาบนอกอ่างเรื่องโกลาหลก็เกิดขึ้นดังกล่าวแล้ว เรื่องนี้จะเท็จจริงอย่างไรก็ไม่ทราบ และที่นำมาเล่านี้ก็ไม่มีเจตนาที่จะเยาะเย้ยท่านผู้ใด เพราะคนเรานั้น มีโอกาสทำในสิ่งที่เราไม่รู้กันมาแทบทุกคน

ในเรื่องอาบน้ำนี้ ในทางพระพุทธศาสนาได้บัญญัติวิธีการอาบน้ำไว้หลายประการเหมือนกัน เช่นการบัญญัติให้พระภิกษุต้องนุ่งผ้าอาบน้ำฝน สาเหตุก็มีอยู่ว่า ครั้งหนึ่งพระภิกษุยังไม่มีจีวรหรือผ้าหลายผืน พระภิกษุหมู่หนึ่งต้องการจะอาบน้ำฝน เมื่อฝนตกครั้นจะนุ่งผ้าอาบน้ำก็จะไม่มีผ้านุ่งอีก จึงเปลือยกายอาบน้ำฝน มีผู้ไปเห็นเข้าก็ติเตียนว่าพระภิกษุในพระพุทธศาสนาเปลือยกายเหมือนพวกเดียรถีย์ พระพุทธองค์ทรงทราบจึงห้ามมิให้พระภิกษุเปลือยกายอาบน้ำ และยังบัญญัติว่าในการอาบน้ำนั้นห้ามถูหลังหรือร่างกายด้วยต้นไม้ ให้ใช้ผ้าถูตัว ถ้าจำเป็นจะต้องอาบน้ำเปลือยกายในแม่น้ำลำคลองก็ให้ทำได้ โดยวิธีค่อยๆ เปลื้องผ้าขึ้นข้างบนพอร่างกายท่อนล่างจมน้ำหมด ก็เอาผ้าวางบนก้อนหินหรือไม้หลักเมื่ออาบน้ำแล้ว ก็ค่อยๆ โผล่ตัวเอาผ้าคลุมนุ่งลงไปจากข้างบน  ไม่ให้อุจาดนัยน์ตาได้ วิธีการเช่นว่านี้มีผู้เล่ากันว่า พวกชาวเขาบางเผ่ายังใช้อยู่คนที่ไปแอบดูชาวเขาอาบน้ำมักจะดูไม่ค่อยทันด้วยซ้ำไปว่าเขาเอาผ้าออกจากตัวแต่เมื่อไร สำหรับพระภิกษุนั้น ถ้าจะอาบน้ำบนบกท่านจึงต้อมีห้องอาบน้ำของท่านไม่ประเจิดประเจ้อนานมาแล้ว ถ้าคนไทยเราทำตามพระในการดำเนินชีวิต ความเป็นระเบียบเรียบร้อยก็จะมีอีกหลายอย่างไม่ใช่เฉพาะแต่การอาบน้ำเท่านั้น

อุปกรณ์ที่ใช้ในการอาบน้ำสำหรับคนไทยสมัยก่อน คือเครื่องขัดสีฉวีวรรณ ก็เห็นจะมีจำพวกส้มเช่นมะกรูดสำหรับสระผม และมีขมิ้นสำหรับประทินผิวให้เหลือง เมื่อสบู่เข้ามาเราก็หันมาใช้สบู่ชำระร่างกายกันทั่วไป จนบัดนี้แทบจะกล่าวได้ว่าไม่มีมุมไหนของประเทศไทยที่ไม่รู้จักใช้สบู่ถูตัว จนทำให้บริษัทค้าสบู่ร่ำรวยไปตามๆ กัน

การอาบน้ำของคนเรานั้นได้วิวัฒนาการมาตามลำดับ จนกระทั่งบัดนี้ ทั้งนี้ก็เพราะมนุษย์เรานั้นชอบแสวงหาความสบายให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ การอาบน้ำเป็นความสบายอย่างหนึ่งของมนุษย์เรา โดยเฉพาะเมื่อได้ใช้สบู่ถูฟอกตัวจนร่างกายสะอาด จะทำให้รู้สึกสดชื่นสบายเป็นอย่างมาก เรื่องของสบู่แม้ว่าจะเป็นประโยชน์ในการชำระร่างกายให้หมดก็จริง แต่สบู่ที่ใช้ในการอาบน้ำก็ต้องระมัดระวัง ท่านผู้รู้แนะนำไว้ว่า การที่จะใช้สบู่อย่างใดนั้น ก็ย่อมแล้วแต่บุคคลแล้วแต่สภาพของผิวหนัง บางคนไม่อาจที่จะใช้สบู่ฟอกตัวได้ โดยเฉพาะพวกที่มีผิวแห้งมากๆ การใช้สบู่ยิ่งทำให้ผิวแห้งมากขึ้น หรือบางคนอาจจะแพ้สบู่ได้อย่างมาก พวกเหล่านี้ก็ควรใช้สบู่ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตามสบู่ที่ใช้อาบน้ำที่นับว่ามีคุณสมบัติที่ดีนั้น มีหลักอันควรเลือกซื้อได้ดังนี้ สบู่ที่ดีจะต้องเป็นสบู่ที่มีฤทธิ์ด่างอ่อนๆ ไม่เติมสีใดลงไป ไม่เติมพวกตัวยาอย่างใดผสมลงไป ผสมน้ำหอมอยู่เพียงเล็กน้อย และประการสุดท้ายก็คือราคาถูก ดังนั้น สบู่ที่มีสีสันต่างๆ สบู่ที่มีกลิ่นหอมมากๆ สบู่ที่มีตัวยาอื่นผสมลงไปและเรียกกันว่าสบู่ยาหรือสบู่ที่เติมไวตามิน เติมฮอร์โมนอะไรลงไปผสมด้วยกับสบู่ราคาแพงนั้น ไม่ใช่สบู่ที่มีคุณสมบัติที่ดีเสมอไป

อาบน้ำวันละกี่ครั้งถึงจะเพียงพอ ปกติแล้ว เราอาบน้ำกันเพียงวันละ ๒ ครั้ง คือเช้าหลังจากตื่นนอนแล้ว และเย็นภายหลังกลับจากทำงานก่อนรับประทานอาหารเย็น แต่ในหน้าร้อนก็อาจจะอาบน้ำมากกว่านี้ได้ แล้วแต่ความจำเป็น แต่การอาบน้ำมากเกินไปนั้น หาใช่จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายไม่ ซ้ำจะกลับเป็นโทษเสียอีก โดยเฉพาะในผู้ที่สูงอายุคือถ้าอาบน้ำมากอาจจะทำให้หมดเรี่ยวแรง หากน้ำที่อาบน้ำนั้นเป็นน้ำร้อน นอกจากนี้ในรายที่มีความดันโลหิตสูง การอาบน้ำร้อนอาจเป็นเหตุให้แรงดันสูงขึ้นไปอีก การอาบน้ำ สำหรับคนสูงอายุหรือคนที่อ่อนเพลียอยู่แล้ว ควรจะอาบน้ำเย็นธรรมดา และถ้าจะเป็นน้ำอุ่นก็ให้อุ่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ศาสตราจารย์ นายแพทย์เสนอ อินทรสุขศรี ได้กล่าวถึงเรื่องการอาบน้ำไว้ว่า “ในฤดูร้อนเรามีเหงื่อออกมาก การอาบน้ำฟอกสบู่อาจใช้ได้มากเพื่อการฟอกล้างกำจัดเหงื่อไคลสิ่งสกปรกที่ติดผิวกายออกให้หมด ขณะที่อาบน้ำฟอกสบู่นี้ พวกน้ำมันธรรมชาติ ซึ่งต่อมน้ำมันที่ผิวหนังจะขับออกมาเพื่อช่วยให้ผิวหนังอ่อนนุ่มและชุ่มชื้น จะพลอยถูกฟอกล้างออกไปด้วย แต่ในชั่วระยะไม่นานนัก ต่อมน้ำมันก็จะขับนํ้ามันออกมาสู่ผิวหนังได้อีก โดยผิวหนังไม่แห้งจากการขาดน้ำมันธรรมชาตินี้

“แต่ในฤดูหนาว ผิวหนังจะขับนํ้ามันธรรมชาตินี้ออกมาน้อย ประกอบกับอากาศหนาวเย็นนั้นแห้งด้วย แม้ว่าการอาบน้ำจะเป็นการช่วยชำระล้างสิ่งสกปรกออกจากผิวกายได้ก็จริง ในฤดูหนาวถ้าอากาศเย็นมาก การอาบนํ้าหากว่าอาบบ่อยครั้งและใช้สบู่มากเกินไป จะทำให้น้ำมันตามธรรมชาติถูกชะล้างออกจากผิวหนังไปหมด จะทำให้ผิวหนังแห้งคันและผิวแตก ซึ่งนับว่าการอาบน้ำและฟอกสบู่นานๆ หรืออาบน้ำบ่อยครั้งแทนที่จะเกิดผลดี กลับอาจเกิดผลร้ายแก่ผิวกายได้ การอาบนํ้าในฤดูหนาวนั้น การฟอกล้างผิวกายด้วยสบู่จึงควรใช้ไม่มากนัก จะฟอกล้างได้มากโดยเฉพาะมือและเท้า ซึ่งเป็นส่วนที่ได้รับความสกปรกที่สุด กับบ่ริเวณรักแร้ และขาหนีบ ซึ่งเป็นส่วนที่อับและมีเหงื่อออกมากเท่านั้น สำหรับคนผิวแห้งมากๆ หลังการอาบน้ำแล้วอาจใช้ครีม หรือน้ำมันสำหรับทาผิวกายบ้าง เพื่อเป็นการทดแทนน้ำมันธรรมชาติ และกันผิวแห้งคันและผิวแตก เป็นสิ่งที่สมควร”

นอกจากนี้ อันตรายอันเกิดจากการอาบน้ำในห้อน้ำยังมีอีก เช่น การติดเชื้อโรคจากห้องน้ำ การหกล้มในห้องน้ำโดยเฉพาะในคนสูงอายุหรือเด็ก ซึ่งบางรายก็พิการก็ถึงแก่ชีวิตมาแล้ว เป็นอันตรายที่ไม่ควรจะมี ถ้าเราใช้ความระมัดระวังและป้องกันโดยการคอยทำความสะอาดในห้องน้ำมิให้มีการลื่นหกล้มได้ เช่นชำระเศษของสบู่หรือผงซักฟอกเป็นต้น

การอาบน้ำของคนไทยเรา หลังจากสงครามโลกคราวที่แล้วมานี้ นับว่าก้าวหน้าไปไกลมาก ถึงขนาดที่มีสถานที่อาบน้ำไว้สำหรับรับจ้างผู้ต้องการอาบเป็นพิเศษ ซึ่งเราเรียกกันสถานอาบ อบ นวด ณ สถานที่เหล่านี้ จะมีพนักงานรับใช้หรือหมอนวดล้วนแต่เป็นผู้หญิงสาวคอยรับใช้ผู้ที่ประสงค์จะใช้บริการของเขา ซึ่งผู้ที่ใช้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชายทั้งนั้น ว่ากันว่าการอาบน้ำแบบนี้ จะทำให้ผู้ที่ไปอาบน้ำได้รับความสดชื่นกระชุ่มกระชวยมากทีเดียว เพราะได้มีการอบตัวด้วยความร้อนให้เหงื่อออก และได้รับการนวด จากหมอนวดที่มีความชำนาญ สถานอาบอบนวดเหล่านี้ทำรายได้ให้แก่เจ้าของมิใช่น้อย บางแห่งมีหมอนวดไว้คอยบริการลูกค้านับเป็นร้อยคน ถึงอย่างนั้นลูกค้ายังต้องไปรอคิวกัน การอาบน้ำ ณ สถานที่เหล่านี้เสียค่าบริการเป็นรายชั่วโมง ส่วนจะคิดชั่วโมงละเท่าไรนั้นไม่แน่นอน แล้วแต่จะกำหนดกันเป็นแห่งๆ ไป แต่อย่างน้อยค่าน้ำประปา ซึ่งเราใช้กันทั้งครัวเรือนในหนึ่งเดือนนั้น คงจะน้อยกว่าอาบน้ำ ณ สถานที่เหล่านั้นเพียงชั่วโมงเดียว

พวกผู้ชายคงจะชอบสถานที่เหล่านี้ แต่ฝ่ายผู้หญิงไทยโดยเฉพาะที่มีสามีแล้วเกลียดสถานที่เหล่านี้ยิ่งกว่าเกลียดเจ้าหนี้ตอนมาทวงดอกเบี้ยเสียอีก และสถานที่เหล่านี้ก็เคยทำให้สามีภรรยาทะเลาะเบาะแว้งกันและหย่าร้างกันมาแล้วหลายร้อยหลายพันคู่

การเปลือยกายอาบน้ำสำหรับคนไทยเรา ดูจะเป็นของใหม่ที่เราเพิ่งประพฤติกัน เมื่อไม่เท่าไรมานี้เอง แต่สำหรับชาติอื่นแล้ว การเปลือยกายอาบน้ำดูเหมือนจะเป็นของธรรมดา สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อทหารญี่ปุ่นเข้ามาประเทศไทย พวกคนไทยเห็นเป็นของแปลกประหลาดที่เห็นทหารญี่ปุ่นแก้ผ้าอาบน้ำหน้าตาเฉยที่ก๊อกประปาสาธารณะ เรื่องการอาบน้ำในถังเดียวกันของชาวญี่ปุ่นก็เหมือนกัน เขาทำกันเป็นของธรรมดา มีผู้หญิงฝรั่งคนหนึ่งไปพักในบ้านของชาวญี่ปุ่น เล่าว่า วันหนึ่งเธอลงไปอาบน้ำอยู่ในถังน้ำในบ้าน (ก็เปลือยกายอาบน้ำนั่นแหละ) พ่อบ้านชาวญี่ปุ่นก็ลงไปอาบด้วย เธอจะขึ้นก็ไม่กล้าขึ้น และก็ถังอาบน้ำของชาวญี่ปุ่นนั้นเขาสุมไฟไว้ข้างล่าง ลงไปใหม่ น้ำยังไม่ทันร้อนพออาบไป น้ำก็ร้อนขึ้นเรื่อยๆ ลงท้ายที่สุดผู้หญิงฝรั่งคนนั้นทนไม่ไหว ต้องเผ่นขึ้นจากถังน้ำทั้งๆ ที่พ่อบ้านชาวญี่ปุ่นยังอยู่ในถังน้ำนั่นเอง โดยที่พ่อบ้านคนนั้นไม่ได้สนใจอะไรในตัวของผู้หญิงคนนั้นเลย เขาว่ากันอย่างนั้น

การอาบน้ำของพวกผู้ชายนอกจากอาบจากสถานที่อาบอบนวดแล้ว ก็เห็นจะไม่มีอะไรที่น่าสนใจอีก แต่ฝ่ายผู้หญิงนั้น อุปกรณ์ในการอาบน้ำนอกจากพวกสบู่แล้ว ยังมีพวกเครื่องประทินผิวทั้งก่อนและหลังอาบน้ำอีกมากมาย บริษัทค้าเครื่องสำอางก็พยายามหาวิธีมาโฆษณาว่าสินค้าของตนนั้นดีอย่างนั้นอย่างนี้ จนผู้หญิงทุกวันนี้เกือบจะจมอยู่ในทะเลแห่งเครื่องสำอางก็มี บางคนเรารู้จักแต่นอกบ้าน ถ้าวันไหนเผลอเข้าไปเยี่ยมถึงในบ้าน บังเอิญเธอยังไม่ได้ลูบไล้เครื่องสำอางละก็ เป็นจำไม่ได้ทีเดียว อิทธิพลของเครื่องสำอางนั้นมีมากมายสามารถลบรอยด่างดำรอยแผลเป็น(นอกจากแผลที่หัวใจ) ของสตรีให้สะอาดหมดจดไปได้ ทุกวันนี้เรามองไปทางไหนก็เห็นแต่สตรีที่สวยสดงดงามไปทั้งนั้น เรียกว่าสวยเกือบจะเหมือนกันหมด อย่างที่ท่านว่าในศาสนาพระศรีอาริย์ พอผู้หญิงออกจากบ้านก็สวยเหมือนกันหมด แม้สามีตนเองก็จำภรรยาของตนไม่ได้ก็อาจจะเป็นเพราะอิทธิพลของเครื่องสำอางค์นี้เอง

ว่ากันว่า ผู้หญิงที่จะเข้าประกวดนางงามนั้น พิถีพิถันในการอาบน้ำมาก บางรายลงทุนซื้อนมสดมาอาบ ว่าทำให้ผิวงามเหมือนน้ำนมนั่นเทียว แต่ก็มีนิทานตลกๆ เล่ากันมาว่า ผู้อุปการะนางงามคนหนึ่ง ลงทุนซื้อน้ำนมมาให้อาบแล้ว ต้องการถอนทุนคืน ก็เอาน้ำนมนั้นกรอกใส่ขวดคืน ปรากฏว่าขวดที่ใส่น้ำนมมานั้นไม่พอที่จะใส่น้ำนมกลับคืน เขาว่าแกได้กำไรครั้งละขวดด้วยซ้ำไป

ท่านรู้จักชำระร่างกายให้หมดจดนะเป็นการดีแล้ว แต่อย่าลืมชำระใจของท่านให้หมดจดจากสิ่งสกปรกบ้างก็แล้วกัน โบราณว่า “สะอาดกายเจริญวัย สะอาดใจเจริญสุข”

โดยทั่วไปเราอาบน้ำเย็นตามธรรมดาเพื่อการชำระล้างร่างกายให้สะอาด แต่ก็มีผู้แนะนำว่า การที่จะอาบน้ำให้เกิดความสดชื่นดีแล้ว ควรอาบน้ำอุ่นสลับกับน้ำเย็น กล่าวคือตอนแรกให้อาบน้ำอุ่นก่อน ความร้อนของน้ำให้ร้อนมากพอที่จะทนได้ ในเมื่อผิวกายถูกกับน้ำร้อน เลือดจะมาสู่ส่วนผิวมากขึ้น หัวใจจะทำงานดีขึ้น และขณะเดียวกันต่อเหงื่อจะทำหน้าที่ขับเหงื่อออกได้มาก ในระหว่างนี้ให้ถูนวดตามผิวกายให้ทั่ว หรือจะใช้ผ้าถูให้ทั่วร่างกาย เพื่อให้เลือดไหลเวียนดีในผิวหนังทั่วไป

ต่อจากนั้นให้หยุดน้ำร้อน เริ่มอาบด้วยน้ำเย็น โดยค่อยๆ เพิ่มความเย็นขึ้นทีละน้อย จนถึงขั้นสุดท้ายให้น้ำเย็นมากเมื่อจะขึ้นจากน้ำ ในขณะที่ผิวกายถูกความเย็นนี้กล้ามเนื้อทั่วไปจะมีการบีบรัดตัวช่วยทำให้กล้ามเนื้อมีกำลังได้ดีขึ้น

พอขึ้นจากน้ำให้เช็ดตัวให้แห้งทันที และเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่สวมแทนชุดเก่า การอาบน้ำดังกล่าวนี้จะช่วยให้สุขภาพของร่างกายดียิ่งขึ้นและรู้สึกสดชื่นอย่างมาก

ที่มา:วิชาภรณ์  แสงมณี