อุปปาติกโยนิ

Socail Like & Share

ที่ว่ามนุษย์เรานั้น เกิดได้ในกำเนิดทั้งสี่ คือ อัณฑชโยนิ (เกิดจากไข่) ชลามพุชโยนิ (เกิดจากครรภ์) สังเสทชโนยิ (เกิดจากสิ่งโสโครกหรือเหงื่อไคล) อุปปาติกโยนิ (เกิดผุดขึ้น) นั้นเป็นอย่างไร อาจารย์ผู้สอนไว้

อุปปาติกโยนิ คือการกำเนิดของสัตว์ที่เกิดผุดขึ้น มนุษย์การถือกำเนิดที่เกิดในกำเนิด นี้มีเรื่องเล่าไว้ว่า สตรีผู้หนึ่งชื่อนางอัมพปาลิกา ซึ่งเกิดเป็นอุปปาติกโยนิ

ท่านเล่าไว้ว่า ในอดีตกาลตั้งแต่กัลป์หนึ่งจนถึงภัททกัลป์ นับย้อนหลัง ไปประมาณ ๓๐๐ กัลป์ มีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระพุทธสิขี เสด็จลงมาโปรดชาวโลกทั้งหลาย ครั้งนั้นมีสตรีผู้หนึ่งชื่อว่า นางอัมพปาลิกา บวชเป็นภิกษุณีในศาสนาของพระพุทธสิขี นางเป็นคนถือศีลเคร่งครัดมาก เอาใจใส่บำรุงรักษาความสะอาดในวัดด้วยดีตลอดเวลา อยู่มาวันหนึ่งนางภิกษุณีผู้นี้ได้กระทำประทักษิณบูชาพระเจดีย์พร้อมด้วยเหล่าสตรีผู้ทรงศีลทั้งหลาย ขณะนั้นพระนางเถรีซึ่งเป็นภิกษุณีองค์หนึ่งซึ่งเป็นพระอรหันตขีณาสพสูงอาวุโสกว่าภิกษุณีองค์อื่นๆ ได้เดินนำหน้าเพื่อบูชาพระเจดีย์ นางเดินไปด้วยความรีบร้อน ยังไม่ทันเบือนหน้าจากพระเจดีย์ก็เกิดอาการไอ เสมหะ กระเด็นถูกพระเจดีย์ ไม่มีคนอื่นรู้เห็น เพราะนางเดินนำหน้าผู้อื่น แต่นางอัมพปาลิกาเห็นก้อนเสมหะนั้น จึงกล่าวติเตียนว่า หญิงโสเภณีที่ไหนบังอาจถ่มน้ำลายลงเต็มพระเจดีย์อันเป็นที่เคารพสักการะ ข้าเจ็บใจยิ่งนักจนไม่อาจจะเปรียบกับสิ่งใดได้ พอนางด่าว่าแล้วก็จากไป ต่อจากนั้นนางอัมพปาลิกา ก็ครุ่นคิดถึงเรื่องที่มีผู้กล่าวไว้ว่า การเกิดในท้องแม่นั้นมีทุกขเวทนายิ่งนัก จึงรู้สึกไม่พอใจ ไม่ต้องการเกิดในท้องคน ได้ตั้งความปรารถนาขอเกิดผุดขึ้นเอง (ขอเกิดเป็นอุปปาติกโยนิ) ตลอดเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่นางได้บำเพ็ญสมณธรรม เป็นภิกษุณีตราบจนสิ้นชีวิต พอสิ้นชีวิตแล้วนางได้ตกนรกเพราะได้ทำบาป ที่ได้ด่าพระมหาเถรีขีณาสพ นางได้ทนทุกขเวทนาอยู่ในนรกเป็นเวลานานหลายปี พอสิ้นบาปแล้วก็พ้นจากนรกได้ขึ้นมาเกิดเป็นนางโสเภณีได้หมื่นชาติ เพราะบาปที่ได้ด่าว่าพระมหาเถรีเป็นโสเภณี พอสิ้นบาปนี้แล้ว ได้ไปเกิดที่ค่าคบกิ่งมะม่วงซึ่งขึ้นอยู่ในอุทยานของพระราชาแห่งเมืองไพสาลี ด้วยเดชอำนาจแห่งศีลที่นางเคยบำเพ็ญอย่างเคร่งครัดเมื่อครั้งเป็นภิกษุณีในชาติก่อนนั้น นางจึงมีรูปโฉมโนมพรรณงามทั่วสรรพางค์กายงามกว่าสตรีทั้งหลายในเมืองไพสาลี พอนางเกิดที่ค่าคบกิ่งมะม่วงเพียงชั่วครู่ นางก็มีร่างกายเติบโตเป็นสาว สมควรมีเหย้าเรือนได้ทันที

ขณะนั้นเหล่าคนสวนเฝ้าอุทยานของราชาก็ได้เห็นนางผู้มีรูปงามยิ่งนั้น จึงพานางไปถวายแด่พระราชาผู้เสวยราชย์ในเมืองไพสาลี คนสวนกราบทูลพระราชาว่า เขาทั้งหลายได้พบนางนี้เกิดที่ค่าคบไม้มะม่วง พระราชาตรัสว่า ถ้านางเกิดเช่นนั้นก็จะตั้งชื่อนางว่า อัมพปาลิกา
นางอัมพปาลิกาอยู่ในเมืองไพสาลี เหล่าท้าวพญาลูกเจ้าลูกขุนในเมือง เกิดวิวาทบาดหมางใจกัน เพราะต่างก็ต้องการได้นางมาเป็นภรรยา ยิ่งได้เห็นรูปโฉมของนางก็ยิ่งแย่งชิงกัน เพื่อจะได้นางมาเป็นภรรยา ด้วยบาปกรรมที่นางอัมพปาลิกาได้เคยด่าพระมหาเถรีขีณาสพนั้นยังไม่หมดสิ้น ยังมีเศษบาปติดตัวนางอยู่ พระราชาจึงตรัสว่า ขณะนี้ท้าวพญาและลูกขุนทั้งหลายในเมืองไพสาลีของพระองค์ได้ก่อการทะเลาะวิวาทเพื่อชิงนางอัมพปาลิกาอย่างไม่รู้จบสิ้น บัดนี้ข้าจะให้นางเป็น “แพศยา” เพื่อระงับการแตกแยกวิวาทกัน ครั้นแล้วจึงได้ตั้งนางอัมพปาลิกาให้เป็น “นางนครโสเภณี” เป็นสาธารณะเพื่อให้บรรดาท้าวพญา ลูกเจ้า ลูกขุน ใช้ได้ทั่วกันตลอดไป ต่อมานางได้ให้กำเนิด บุตรชายผู้หนึ่ง ตั้งชื่อว่า โกณฑัญญะ นางเป็นบุคคลที่มีจิตเลื่อมใสศรัทธาในพุทธศาสนายิ่งนัก ได้สร้างวัดและวิหารไว้แห่งหนึ่ง แล้วให้บุตรชายคือโกณฑัญญะบวชในพุทธศาสนา โกณฑัญญะได้บำเพ็ญสมณธรรมจนได้สำเร็จเป็นพระอรหันตขีณาสพ มีความรู้แตกฉานในปฏิสัมภิทาญาณ จนได้พระนามว่า พระโกณฑัญญะเถระ ส่วนนางอัมพปาลิกาก็ได้ฟังพระธรรมเทศนา ณ สำนัก พระโกณฑัญญะเถระ จนเกิดศรัทธาแรงกล้าได้บวชในพระพุทธศาสนา บำเพ็ญเพียรอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดก็สำเร็จเป็นพระอรหันตขีณาสพ เมื่อนางสิ้นชีพแล้วก็ได้ไปสู่มหานครนิพพาน มนุษย์เรานี้มีผู้เกิดผุดขึ้นเอง หรืออุปปาติกโยนิ ดังเช่นนางอัมพปาลิกาดังกล่าวมานี้

คณะทำงานโครงการวรรณกรรมอาเซียน