สวรรค์ชั้นปรนิมิตวสวัดดี

Socail Like & Share

เหนือขึ้นไปจากสวรรค์ชั้นนิมมานรดี ๕,๓๗๖,๐๐๐,๐๐๐ วา หรือ ๖๗๒,๐๐๐ โยชน์ ก็จะถึงสวรรค์ชั้นปรนิมิตวสวัดดี สวรรค์ชั้นที่ ๖ อันเป็นฉกามาพจรสวรรค์ สวรรค์ชั้นฟ้าที่ ๖ นี้ประเสริฐด้วยสุขสมบัติมากยิ่งไปกว่าสวรรค์ชั้นฟ้าที่กล่าวมาแล้ว หากว่าปราราถนาจะได้สรรพทิพย์อาหารใดๆ ก็จะมีเทวดาองค์อื่นมาเนรมิตให้ดังใจปรนิมิตวสวัดดีปรารถนา จึงชื่อว่า ปรนิมิตวสวัดดีสวรรค์ เทวดาในสวรรค์ชั้นนี้สูง ๖๔,๐๐๐ วา เทพยดาผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นนี้ ชื่อพระปรนิมิตวสวัดดีเทวราช เป็นใหญ่เหนือเทวดาทั้งหลายฝ่ายหนึ่ง และพระยามาราธิราช เป็นใหญ่ในหมู่มารทั้งหลายอีกฝ่ายหนึ่ง ในชั้นฟ้านี้จึงมีพระยาผู้เป็นใหญ่ ๒ องค์ ไม่เคยไปเฝ้าไปหากันและกันเลย สวรรค์ทุกชั้นมีอาณาเขตจดขอบแดนจักรวาล ชั้น ๖ นี้ ชื่อฉกามาพจรภูมิ อายุของเทวดาในสวรรค์ชั้นนี้ยืนได้ ๑๖,๐๐๐ ปีทิพย์ หรือ ๘,๒๑๖,๐๐๐,๐๐๐ ปีในเมืองมนุษย์

เทวดาทั้งหลายจะสิ้นอายุจากเมืองฟ้านั้นเป็นไปได้ ๔ ประการ คือ อายุขยะ บุญญขยะ อาหารขยะ และโกรธพละ หากว่าเทพยดาองค์ใดทำบุญมาแต่ก่อนเมื่อสิ้นอายุในสวรรค์ที่อยู่แล้ว จะไปเกิดในสวรรค์ชั้นฟ้าสูงขึ้นไป หรือสวรรค์ชั้นเดิมก็ดี เรียกว่า อายุขยะ หากเทวดาองค์ใดได้ทำบุญมาก่อน และได้ไปเกิดในสวรรค์แต่อายุเทวดานั้นไม่ถึงกำหนดของอายุเทวดาทั่วๆ ไปในสวรรค์ชั้นนั้น ทำให้สิ้นบุญไปก่อน ก็จะไปเกิดในสวรรค์แห่งอื่นเพราะสิ้นบุญก่อน เรียกว่า บุญญขยะ ส่วนเทวดาบางพวกเล่นสนุกเพลิดเพลินอยู่กับนางฟ้าทั้งหลาย จนลืมกินอาหาร เทวดาก็จะสิ้นชีวิตลงแม้จะลืมกินอาหารเพียงมื้อเดียวก็ตาม แม้นว่ามากินภายหลังสักร้อยมื้อก็ไม่สามารถจะคงชีวิตต่อไปได้ เพราะเหตุว่าเนื้อของเทวดาอ่อนเหมือนดอกบัว ถ้านำดอกบัวไปตากบนหินเวลาแดดร้อนจัดไว้หนึ่งวัน แล้วจึงเอามาแช่นํ้า แม้นว่าจะแช่ไว้นานเท่าใดก็ตามดอกบัวก็จะไม่มีวันฟื้นสดชื่นขึ้นมาอีกได้ เช่นเดียวกับเทวดาที่อดอาหารแล้วตายลง เทวดาที่สิ้นชีวิตลงด้วยเหตุเช่นนี้ เรียกว่า อาหารขยะ เทวดาบางจำพวกเห็นเทวดาองค์อื่นได้ดีมียศฐาบรรดาศักดิ์มากกว่าตนก็มีใจคิดริษยาโกรธ ทำให้เกิดเป็นปากเสียงด่าทอกัน เทวดาทั้งสองนั้นถ้าฝ่ายใดอดใจไม่โกรธได้ ก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไปทั้งสองฝ่าย เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ เพราะเหตุว่าใจของเทวดาผู้โกรธนั้นเปรียบเป็นไฟ และใจของเทวดาผู้ไม่โกรธนั้นเป็นน้ำ ไปดับไฟของเทวดาที่โกรธเสีย จึงมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แต่ถ้าเทวดาทั้งสององค์ต่างถือความโกรธเข้าหากันไม่สามารถอดใจได้ ต่างด่าทอ ถกเถียงกัน นางฟ้าทั้งหลายที่เป็นบริวารของทั้งสองฝ่ายก็จะสยายผมลงแล้วร้องไห้ เมื่อเทวดาตั้งความโกรธต่อกันเช่นนั้น หัวใจของทั้งสองฝ่ายก็จะเป็นไฟไหม้ตัวของเขาทั้งสองสิ้นชีวิตลง เทวดาหมู่ใดสิ้นชีวิตลงด้วยเหตุดังกล่าวนี้ เรียกว่า โกรธพละ

ลักษณะพิเศษของเทวดาทั้งหลายมีดังนี้ แม้ว่าเสวยอาหารแล้วก็จะไม่มี ลามกอาจมเหมือนที่มนุษย์เรามีเลย เทวดาที่จุติจากสวรรค์ไม่มีแม้แต่ซากศพเช่นมนุษย์เราเลย เมื่อเวลาจุตินั้นร่างกายก็จะหายไปเลย ถ้าเทวดาผู้มีบุญนั้นจะจุติสิ้นชีวิต ๗ วันก่อนจะจุติ จะเห็นนิมิต ๕ ประการ เมื่อเห็นแล้วเทวดาองค์นั้นก็จะรู้ว่าตนกำลังจะจุติสิ้นชีวิตแล้ว นิมิตทั้ง ๕ คือ หนึ่ง เห็นดอกไม้ที่มีในวิมานของตน เหี่ยวและสิ้นกลิ่นหอม ปกติแล้วดอกไม้นี้มีกลิ่นหอมมากและไม่มีวันเหี่ยว  สอง เห็นผ้าทรงดูหม่นหมอง ปกติผ้าทรงจะดูสดใสงดงามเสมอ สาม มีความสุขดีอยู่ แต่ไม่รู้สึกเป็นสุข มีเหงื่อไคลไหลออกมาจากรักแร้ เมื่อก่อนเคยอยู่เป็นสุขทุกเวลา ไม่เคยมีเหงื่อไคลเลย สี่ อาสนะที่นั่งนอนดูร้อนแข็งกระด้าง แต่ก่อนไม่เคยร้อน หรือแข็งกระด้างเลย และ ห้า กายของเทวดาเหี่ยวแห้งเศร้าหมองไม่มีรัศมีเหมือนแต่ก่อน และรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยทั้งมือและเท้าซึ่งแต่ก่อนตัวเทวดามีรัศมีรุ่งเรือง งามตลอดเวลา และไม่เคยรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยตัวแต่ประการใด

การเห็นนิมิตทั้ง ๕ ประการนี้จะเกิดมีขึ้นแก่เทวดาผู้มีบุญและจะจุติ เปรียบเหมือนพระราชาในเมืองมนุษย์ เมื่อจะสวรรคตก็จะเห็นนิมิตในทำนองเดียวกัน ส่วนเทวดาผู้มีบุญน้อยเมื่อจะจุติก็จะสิ้นชีวิตเลย ในขณะที่เทวดาผู้มีบุญ ก็จะเห็นนิมิต ๕ ประการดังกล่าวแล้ว เทวดาองค์อื่นๆ ที่เป็นที่รักใคร่ และนางฟ้า บริวารทั้งหลายก็จะมาหามาสู่ตลอด ๗ วันนั้น มีความทุกข์โศกไปด้วย แล้วก็จะชักชวนเทวดาองค์นั้นให้ไปเล่นที่สวนสนุกเพื่อให้ลืมความทุกข์ลง นางฟ้าบริวารทั้งหลายก็จะร้องไห้เศร้าโศกทุกคน แล้วครวญว่า ขอให้พระองค์มาเกิดในวิมานนี้อีกเมื่อครบ ๗ วันแล้ว เทวดาองค์นั้นก็จะจุติ แล้วไปเกิดใหม่ตามอำนาจบุญและอำนาจบาปของเทวดาเอง เมื่อเทวดาสิ้นชีวิตลง เครื่องประดับอาภรณ์ต่างๆ ของเทวดาก็จะหายไป ร่างกายของเทวดาก็จะหายไป แม้แต่ผมสักเส้นหนึ่งก็จะไม่มีเหลือปรากฏให้เห็นเลย

แม้นว่าเทวดาทั้งหลายจะมีสุขสมบัติปานใดก็ดี ก็ยังหมดสิ้นจากความสุข และสมบัติต่างๆ ลงได้ ฉะนั้นมนุษย์เราทั้งหลายจะยึดมั่นในสมบัติหรืออายุของตนได้อย่างไร เหตุฉะนี้พระพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์เจ้าทั้งหลายก็ดี จึงไม่มีใจปรารถนาในสุขสมบัติในสงสารวัฏนี้ ท่านจึงเสด็จเข้าสู่นิพพานสุข เพราะเหตุนี้เอง อันว่าจะเกิดมาได้สุขสมบัติในเทวโลกก็ดี มนุษย์โลกก็ดี ก็เป็นเพราะได้กระทำบุญมาก่อน รวมทั้งไตรเหตุ ๓ ประการ คือ อโลโภเหตุ ไม่โลภอยากได้ทรัพย์สินของผู้อื่น อโทโสเหตุ ไม่โกรธขึ้งโกรธแค้น กล่าวโทษหรือ ริษยาผู้อื่น อโมโหเหตุ ไม่หลง ไม่กระทำบาปทำแต่บุญ เหตุทั้ง ๓ ประการนี้จะทำให้มียศศักดิ์ และสุขสมบัติ จิตใจที่เป็นบุญมีทั้งหมด ๑๗,๒๘๐ ดวงดังได้กล่าวมาแล้ว

คณะทำงานโครงการวรรณกรรมอาเซียน