รูปาวจรภูมิ

Socail Like & Share

รูปพรหม ๑๖ ชั้น
พรหมทั้งหลายที่เกิดในรูปพรหมทั้ง ๑๖ ชั้นนั้น ย่อมเกิดเป็นกายใหญ่ทันทีแต่เพียงอย่างเดียว และเอาปฏิสนธิ ๖ จำพวก คือ วิตก วิจารณ์ และอื่นๆ ที่กล่าวแล้ว นับตั้งแต่สวรรค์ชั้น ปรนิมมิตวสวัดดี ขึ้นไปจนถึงพรหมโลกนั้น จะนับเป็นโยชน์หรือเป็นวาไม่ได้เลย เพราะว่าอยู่ไกลมาก รูปาวจรภูมิแม้แต่พรหมชั้นล่างสุดที่ชื่อ พรหมปาริสัชชาภูมิ ลงมาจนถึงแผ่นดินนี้ก็ยังไกลมาก หากเอาศิลาก้อนหนึ่งขนาดเท่าปราสาทเหล็กที่ชื่อ โลหปราสาท ที่มีอยู่ในลังกาทวีปนั้น มาทิ้งทอดลงมาจากพรหมปาริสัชชานั้นโดยไม่ไปติดขัดอยู่ที่ไหนเลย ก็จะกินเวลาถึง ๔ เดือน จึงจะตกลงมาถึงแผ่นดิน นี่เป็นแต่เพียงพรหมชั้นตํ่าสุด พรหมทั้ง ๒๐ ชั้นจะอยู่เหนือกันขึ้นไปตามลำดับ ๒๐ ชั้น อาณาเขตกว้างเท่าขอบเขตของกำแพงจักรวาล นอกจากนั้นยังมีปราสาทแก้วและเครื่องประดับทั้งหลายงดงามยิ่งไปกว่าบรรดามีในสวรรค์ของเทวดาต่างๆ นับพันเท่า

พรหมชั้น ๑ ชื่อ พรหมปาริสัชชาภูมิ ชั้น ๒ ชื่อ พรหมปโรหิตา ชั้น ๓ ชื่อ มหาพรหมาภูมิ พราหมณ์ และฤาษที่บำเพ็ญภาวนาจนได้ฌานที่ชื่อ ปฐมฌานในชั้นตํ่าตลอดชีวิตนั้นเมื่อตายไปจะได้ไปเกิดในพรหมชั้นปาริสัชชาภูมิ มีอายุยืนได้ หนึ่งในสามของกัลป์ ผู้ใดที่ได้ปฐมฌานชั้นปานกลางตลอดชีวิต เมื่อตายไปก็จะไปเกิดในพรหมที่ชื่อว่าพรหมปโรหิตาภูมิ เสวยสุขอยู่เป็นเวลาครึ่งหนึ่งของกัลป์ ส่วนผู้ใดได้ปฐมฌานชั้นสูงสุดตลอดชีวิต เมื่อตายไปก็จะไปเกิดในพรหมชั้นมหาพรหมภูมิ เสวยสุขเป็นเวลาหนึ่งมหากัลป์ อายุของพรหมในชั้นนี้นับเป็นกัลป์ เมื่อไฟไหม้กัลป์เมื่อใดก็จะไหม้พรหมทั้ง ๓ ชั้นนี้ด้วย

ไกลขึ้นไปอีกมากก็จะถึงพรหมอีก ๓ ชั้น คือ ปริตตาภูมิ อัปปมาณาภูมิ และอาภัสสราภูมิ รวมเรียกว่า ทุติยฌานภูมิ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายที่สำเร็จทุติยฌานชั้นตํ่าจนตลอดชีวิต เมื่อตายไปจะไปเกิดในพรหมชั้น ปริตตาภูมิ มีอายุได้ ๒ มหากัลป์ ผู้ใดสำเร็จทุติยฌานภูมิชั้นปานกลางจนตลอดชีวิต ตายไปจะไปเกิดในพรหมชั้น อัปปมาณาภูมิ มีอายุยืนได้ ๔ มหากัลป์ ส่วนผู้ที่สำเร็จทุติยฌานภูมิชั้นสูงสุด ก็จะไปเกิดในพรหมชั้น อาภัสสราภูมิ มีอายุยืนได้ ๘ มหากัลป์ เมื่อเกิดไฟไหม้กัลป์แล้ว นํ้าก็ท่วมอาภัสสราพรหมภูมิด้วย

ถัดขึ้นไปอีกไกลนักหนาก็จะถึงพรหมอีก ๓ ชั้น คือ ปริตตาสุภาภูมิ อัปปมาณสุภาภูมิ และสุภกิณหาภูมิ รวมเรียกว่า ตติยฌานภูมิ เทวดาหรือ มนุษย์ใดได้ตติยฌานในขั้นตํ่า เมื่อตายไปก็จะไปเกิดในพรหมชั้น ปริตตาสุภาภูมิ มีอายุยืน ๑๖ มหากัลป์ ผู้ใดได้ตติยฌานในขั้นกลางจนตลอดชีวิต ตายไปก็จะไปเกิด ในพรหมชั้น อัปปมาณาสุภาภูมิ มีอายุยืนได้ ๓๒ มหากัลป์ ส่วนผู้ใดได้ตติยฌาน ชั้นสูงสุดจนตลอดชีวิต ตายไปก็จะไปเกิดในพรหมชั้น สุภากิณหาภูมิ มีอายุยืน ๖๔ กัลป์ เมื่อนํ้าท่วมแล้วมีลม ๕ อย่าง พัดพาทำลายพรหมทั้ง ๓ ชั้นนี้จนหมด ลมนั้นจึงจะหยุด

จากนั้นขึ้นไปอีกไกลมากจะถึงพรหมอีก ๒ ชั้น คือ เวหัปผลาภูมิ และ อสัญญีภูมิ เรียกว่า จตุตถฌานภูมิ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายที่บรรลุ จตุตถฌานขั้นสูงสุดจนตลอดชั่วชีวิต เมื่อตายไปจะไปเกิดในพรหมชั้น เวหัปผลาภูมิ มีอายุยืนถึง ๔๐๐ มหากัลป์ ผู้ใดถึงจตุตถฌานด้วยความมั่นคงและไม่มีลูกมีเมีย รวมทั้งเขารำพึงในใจว่า อันว่าสัตว์ทั้งหลายที่ไปทนทุกขเวทนาอยู่ในจตุราบายด้วย โยนิ ๔ คติ ๕ วิญญาณฐิติ ๗ และสัตตาวาส ๙ ก็เป็นเพราะมีใจรู้รำพึงมาก มีใจรัก มีใจเกลียดชัง เมื่อใดใจนี้หายไปจากตนไม่รู้รำพึงมาก ไม่รู้รักรู้เกลียด เมื่อนั้นก็จะดียิ่ง เขารำพึงเช่นนี้แล้วก็ปรารถนาเช่นนี้ คือ ขออย่ามีลูกมีเมียหรือมีใจเลย เขาพรํ่าภาวนาเช่นนี้ว่า ขอจงอย่ามีสัญญาภาวนาอยู่ตลอดชั่วชีวิตเขา
เมื่อตายไปก็ไปเกิดในพรหมชั้น อสัญญีภูมิ พรหมในชั้นนี้มีกายสูง ๙๖,๐๐๐ วา ไม่มีใจแม้แต่นิดเดียว หน้าตาผิวพรรณเหมือนรูปพระปฏิมาทองคำที่ช่างขัดไว้ใหม่ งดงามมาก หากผู้ใดนั่งอยู่และตายไป ก็จะไปเกิดเป็นพรหมในอิริยาบถนั่งไปจนสิ้นอายุพรหม ผู้ใดยืนอยู่แล้วตายไป ก็จะไปเกิดเป็นพรหมในอิริยาบถยืนในพรหมโลก ไม่กระพริบตาหวั่นติงใดๆ ทั้งสิ้น ไม่รับรู้ใดๆ ทั้งสิ้น ในปราสาทแก้วของพรหมนั้นกว้างขวางมาก มีดอกไม้ของหอมทั้งหลายอันประเสริฐอยู่ตลอดเวลาที่พรหมสถิตอยู่ ดอกไม้นั้นไม่มีเหี่ยวแห้ง ของหอมต่างๆ ก็ไม่มีวันหมดกลิ่นหอมเลย ดอกไม้ต่างๆ ก็จะประดับอยู่เรียงรายราวกับมีผู้จัดแต่งอยู่รอบวิมานของพรหม จำนวนของพรหมในชั้นนี้มีมากมายไม่รู้กี่ล้านกี่โกฏิ มีอายุยืนได้ ๕๐๐ มหากัลป์ เมื่อใดพรหมเหล่านี้จะสิ้นอายุ พรหมที่ได้ทำบุญมาก่อน เมื่อก่อนจะสิ้นชีวิตจิตใจ ก็จะกลับคืนมาสู่ร่างตามเดิมเช่นคนทั่วๆ ไป แล้วจึงไปเกิดตามผลบุญและบาป ที่ทำไว้ เพราะยังไปไม่ถึงนิพพาน

จากนั้นขึ้นไปอีกไกลมากก็จะถึงพรหมอีก ๕ ชั้น คือ อวิหาภูมิ อตัปปาภูมิ สุทัศสาภูมิ สุทัศสีภูมิ และ อกนิฎฐาภูมิ เรียกรวมว่า ปัญจสุทธาวาส นับเป็น จตุตถฌานภูมิ ผู้ใดได้สำเร็จจตุตถฌาน หรือ ปัญจมฌานก็ดี จนตลอดชั่วชีวิต ตายไปก็จะได้ไปเกิดในพรหม ๕ ชั้นที่ชื่อ ปัญจสุทธาวาสนี้ แล้วจะไม่เกิดมาเป็นคนในมนุษย์โลกอีกเลย หากว่าสิ้นอายุจากพรหมโลกแล้ว จะเข้าถึงนิพพานเลย อายุของพรหมในอวิหาภูมินั้นยืนได้ ๑,๐๐๐ มหากัลป์ อายุพรหมในอตัปปายืน ได้ ๒,๐๐๐ มหากัลป์ พรหมในสุทัสสา อายุยืนได้ ๔,๐๐๐ มหากัลป์ อายุพรหม ในชั้นสุทัสสียืนได้ ๘,๐๐๐ มหากัลป์ และอายุพรหมในชั้นอกนิฏฐายืนได้ ๑๖,๐๐๐ มหากัลป์

พรหมทั้ง ๑๖ ชั้นนี้ เรียกว่า โสฬสรูปพรหม อันเป็นที่อยู่ของพรหมทั้ง หลายอันมีรูปพรหมทั้งหลายล้วนแต่เป็นเพศชาย จะมีพรหมเพศหญิงแบบเทพธิดา ในสวรรค์ชั้นตํ่าลงมาก็หาไม่ได้ แต่พรหมที่อยู่ในชั้นอสัญญีนั้นเป็นเเต่รูปอยู่เช่นนั้น ไม่เคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย ส่วนพรหมในชั้นอื่นๆ อีก ๑๕ ชั้น เคลื่อนไหว มีตาไว้ดู หูไว้ฟัง มีจมูกไว้หายใจเข้าออก แต่ไม่มีความรู้สึกถึงกลิ่นหอมหรือเหม็น มีลิ้นไว้พูดจาแต่ไม่รู้รสเปรี้ยว หวาน เผ็ด จืดหรือเค็ม เนื้อตัวของพรหมนั้นแม้นว่าจับต้องก็จะไม่รู้สึกเจ็บแต่ประการใด ไม่เสวยข้าว น้ำ ได้แต่นั่งฌานสมาบัติ ไม่ยินดี ที่จะเกี่ยวข้องกับผู้อื่น หน้าตาเนื้อตัวของพรหมนั้นเกลี้ยงเกลางดงาม รุ่งเรืองกว่าพระจันทร์พระอาทิตย์เป็นพันเท่า แม้แต่มือของพรหมเพียงมือเดียวก็ให้แสงเรืองไปทั่วจักรวาลได้ถึงหมื่นจักรวาล พระพรหมทั้งหลายมีปราสาทแก้วและปราสาททอง มีอาสน์ทิพย์ ม่านและเพดานเป็นทิพย์ประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ งดงามยิ่งกว่าวิมานของเทวดาในชั้นตํ่าได้พันเท่า มีเกศเกล้างดงาม มีชฎาทุกองค์ งามยิ่งนัก รูปร่างของพรหมก็งดงามมาก ไม่ว่าจะเป็นหัวเข่าก็ดี แขนก็ดี ต่อกันกลมกลึงงามมาก มองไม่เห็นรอยต่อ พรหมทั้งหลายนั้นไม่มีอวัยวะภายในตนแม้แต่ น้อย และไม่มีลามกอาจมใดๆ เลย

พรหมทั้ง ๑๖ ชั้นนั้น ไม่มีพรหมเพศหญิงแม้แต่องค์เดียว แม้แต่เพียงเหมือนเพศหญิงก็ไม่มีเลย พรหมทั้งหลายไม่มีใจรักใคร่ในผู้หญิงแม้แต่น้อย ไม่มีการขับร้องฟ้อนรำหรือเล่นดนตรีแต่อย่างใด บางพวกอยู่ด้วยฌานชื่อ อริยวิหาร บางพวกอยู่ด้วยฌานชื่อ ทิพยวิหาร บางพวกอยู่ด้วยฌานชื่อ พรหมวิหาร พรหมทั้งหลายในอกนิฏฐพรหมนั้น เมื่อใดที่พระโพธิสัตว์ผู้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้นเสด็จออกผนวช พรหมนั้นจะเอาผ้าไตรจีวรและเครื่องบริขารลงมาจากพรหมโลกไกลโพ้น มาถวายแด่พระโพธิสัตว์เจ้า พระโพธิสัตว์ทรงรับเอาไตรจีวรจากพรหมแล้วทรงไตรจีวรนั้น ทรงถอดผ้าขาวที่พระองค์ทรงอยู่ออกจากพระกายแล้วยื่นให้พรหมนั้น ซึ่งรับเอาขึ้นไปไว้ที่อกนิฏฐพรหม แล้วเนรมิตเป็นพระเจดีย์แก้วครอบผอบแก้วใสงามนั้น พระเจดีย์สูง ๙๖,๐๐๐ วา มีพระนามว่า ทุสเจดีย์ พรหมทั้งหลายย่อมเคารพบูชาปฏิบัติพระเจดีย์วันละ ๗ แสนองค์ มิได้ขาด

พรหม ๑๖ ชั้นนี้ เมื่อไฟไหม้แผ่นดินนี้แล้ว พรหมจะเสด็จลงมาดูดอกบัว ที่เกิดในแผ่นดินนี้ แล้วจึงเอาบาตร จีวร เครื่องอัฏฐบริขาร ๘ สิ่งที่อยู่ในดอกบัว นั้น คือ ผ้าสบง ผ้าจีวร ผ้าสังฆาฏิ บาตร ผ้าประคด มีดโกน เข็มเย็บผ้า ผ้ากรองน้ำ พรหมรับเอาอัฏฐบริขารนี้ขึ้นไปไว้ที่อกนิฏฐพรหม ยามเมื่อพระโพธิสัตว์เจ้า เสด็จออกผนวชเมื่อใด พรหมจึงจะนำลงมาถวาย กัลป์ใดมีพระพุทธเจ้าหนึ่งพระองค์ ก็จะเกิดดอกบัวขึ้นหนึ่งดอก เรียกกัลป์นี้ว่า สารกัลป์ กัลป์ใดจะเกิดมีพระพุทธเจ้าสองพระองค์ ก็จะเกิดดอกบัว ๒ ดอก เรียกว่า มัณฑกัลป์ กัลป์ใดจะเกิดมี พระพุทธเจ้าสามพระองค์ ก็จะเกิดดอกบัวขึ้น ๓ ดอก เรียกว่า วรกัลป์ กัลป์ใดจะเกิดมีพระพุทธเจ้าสี่พระองค์ ก็จะเกิดดอกบัว ๔ ดอก เรียกกัลป์นี้ว่า สารมัณฑกัลป์ กัลป์ใดจะเกิดมีพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ก็จะเกิดดอกบัว ๕ ดอก เรียกว่า ภัททกัลป์ กัลป์ใดจะไม่มีพระพุทธเจ้ามาเกิดเลย กัลป์นั้นเรียกว่า สุญญกัลป์ ในหนึ่งกัลป์จะมีพระพุทธเจ้ามาเกิดได้สูงสุดเพียง ๕ พระองค์เท่านั้น มากกว่านี้ไม่มี และเครื่องอัฏฐบริขารอันเกิดมีในดอกบัวนั้น ก็เกิดขึ้นมาเองเพราะบารมีของพระพุทธเจ้านั่นเอง

ผู้ที่จะได้ไปเกิดในพรหมโลกนั้น ทำบุญธรรมอย่างไรจึงได้ไปเกิดเช่นนั้น ผู้ใดก็ดีแม้นว่าได้ทำบุญบวชเป็นพระรักษาศีลได้เท่าไรก็ดี แต่ไม่ได้ฌานที่จะทำให้สามารถเดินไปในอากาศหรือดำดินได้ จะไม่ได้เกิดในพรหมโลกเป็นอันขาด ผู้ใดเจริญภาวนาฌานจนตลอดชั่วชีวิต จึงจะได้ไปเกิดในพรหมโลก เมื่อภาวนาจะให้บรรลุได้ฌานนั้นย่อมกระทำดังนี้ คือภิกษุเจ้าที่เป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้าก็ดี ฤๅษีผู้มีศีลก็ดี นั่งสมาธิภาวนาจำเริญกรรมฐานว่า “ปฐวีกสิณํ” ทั้งกลางวัน กลางคืน และกำจัดปัญจนิวรณ์ คือ ความพอใจรักใคร่ในกาม ความปองร้ายผู้อื่น ความง่วงเหงาหาวนอน ความฟุ้งซ่าน ความลังเลไม่ตกลงใจ แล้วจึงประกอบด้วย ฌาน ๕ ประการ คือ ความตรึกตรอง ความพิจารณา ความปลื้มใจ ความสุข และความเป็นผู้มีอารมณ์เดียว แล้วจึงจักได้ญาณ ๕ ประการ คือ รู้จักแสดงฤทธิ์ได้ มีหูทิพย์ ตาทิพย์ รู้จักจิตของผู้อื่น และรู้จักระลึกชาติได้ เหล่านี้เป็นสภาวะบุญที่ได้เจริญฌานในโลกนี้ แล้วจึงจะได้ไปเกิดในรูปพรหม ๑๕ ชั้น ยกเว้นอสัญญีพรหม เมื่อเกิดนั้น มีรูปเกิดเพียง ๒๓ รูปทีเดียว ไม่มีรูปเกิดถึง ๒๘ รูป เช่นเทวดาที่เกิด เป็นกามภูมิ เมื่อพรหมเกิดมีรูปเกิด ๒๓ รูป แต่ไม่มีรูปเกิดอีก ๕ รูป ๕ รูปนั้นคือ อะไร ได้แก่ฆานรูป รูปอันรู้จักกลิ่นหอมและเหม็น ชิวหารูป รูปอันรู้รสอาหารที่กิน กายรูป รูปอันรู้สึกเจ็บปวด อิตถีภาวรูป รูปอันรู้สึกกามตัณหาเหมือนผู้หญิง ปุริสภาวรูป รูปอันรู้สึกกามตัณหาเหมือนผู้ชาย เมื่อเกิดก็จะมีชีวิตรูป ๔ รูป คือ รูปที่รักษาตา รูปที่รักษาหู รูปที่รักษาใจ และรูปที่รักษาเสียง

พรหมที่เกิดในชั้นอสัญญีนั้น ย่อมเกิดเป็นรูปเหมือนพรหมทั้งหลายที่กล่าวมาแล้ว แต่รูปนั้นจะมี ๑๗ จำพวก ได้แก่อะไรบ้าง ได้แก่ สุทธัฏฐกรูป ๘ ชีวิต รูป ๑ อากาสรูป ๑ วิการรูป ๓ ลักษณะรูป ๔ รวมกันได้ ๑๗ จำพวก โดยมีชีวิตรูปอันเดียวอยู่ในสุทธัฏฐกรูป

พรหมทั้งหลายที่มีจิตภาวนาเจริญฌานนั้น ยังมีเจตสิกซึ่งเป็นเพื่อนของจิต มาตกแต่งอีกให้เป็นกุศล เจตสิกนี้มีเท่าใดมี ๒๒ จำพวก อันได้แก่ ศรัทธา ความเชื่อ ถือบุญธรรมทุกเมื่อ สติ ความระลึกได้ไม่ลืมบุญธรรมเลย ความรู้ละอายไม่ประมาท ความเกรงกลัวต่อบาป ความไม่โลภ ความไม่โกรธ ไม่เคียดแค้นไม่ริษยา การกระทำสิ่งใดด้วยใจเป็นกลาง กระทำสิ่งใดมีตนประกอบด้วยสภาวะธรรมความมีใจเห็นสภาวะธรรม มีกายเบาตามธรรม ความมีใจเบาตามสภาวะธรรม ความมีกายอ่อนตามธรรม ความมีใจอันอ่อนตามสภาวะธรรม ความมีกายอันควร แก่สภาวะและธรรมทั้งหลาย ความมีใจอันควรแก่สภาวะธรรมทั้งหลาย ความมีกายคล่องแคล่วแก่ธรรม ความมีใจอันคล่องแคล่วแก่ธรรม ความมีกายซึ่งตรงต่อธรรม ความมีจิตซื่อตรงต่อธรรม ความมีใจเมตตากรุณาแก่สัตว์ทั้งหลาย ความมีใจพลอยยินดีต่อสัตว์ทั้งหลาย และความมีปัญญายิ่งกว่าอินทรีย์ทั้งหลาย รวมเจตสิกได้ ๒๒ จำพวก เหล่านี้เป็นเพื่อนของจิตใจ แทนอาหารของรูปพรหมทั้งหลาย

คณะทำงานโครงการวรรณกรรมอาเซียน