เรื่องเล่าเกี่ยวกับพระอังคาร

Socail Like & Share

ตามธรรมเนียมครับ ดาวพระอังคารจัดเป็นดาวพระเคราะห์ดวงหนึ่ง ผมก้ต้องเริ่มด้วยความรู้เรื่องดาราศาสตร์ก่อนละ

ดาวพระอังคารเป็นดาวพระเคราะห์ที่มองเห็นด้วยตาเปล่าเป็นสีส้ม แต่ดูจากกล้องโทรทรรศน์จะเห็นเป็นสีเหลืองจำปา ดาวอังคารมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๔,๓๕๒ ไมล์ พื้นที่ผิวน้อยกว่าโลก ๓.๖ เท่า ปริมาตรน้อยกว่าโลก ๗ เท่า ความหนาแน่นมีประมาณ ๓.๘ กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร (โลกมีประมาณ ๕.๕๒ กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร) ดาวอังคารมีแรงดึงดูดราว ๒ ใน ๕ ของความดึงดูดของพื้นโลก หมุนรอบตัวเองทวนเข็มนาฬิกากินเวลา ๒๔ ช.ม. ๓๗ นาที ๒๒.๕๖ วินาที และหมุนรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรี ระยะห่างจากดวงอาทิตย์ใกล้ที่สุดราว ๑๒๘,๗๕๐,๐๐๐ ไมล์ ไกลที่สุดราว ๑๕๕,๐๐๐,๐๐๐ ไมล์ หมุนรอบดวงอาทิตย์ในอัตราเร็ว ๑๕ ไมล์ต่อวินาที โคจรครบรอบใช้เวลา ๖๘๗ วัน ๒๓ ช.ม. และดาวพระอังคารอยู่ใกล้โลกที่สุดราว ๓๕,๐๐๐,๐๐๐ ไมล์ ไกลที่สุดราว ๖๒,๐๐๐,๐๐๐ ไมล์ และนักดาราศาสตร์ตรวจแล้วว่าไม่พบอ๊อกซิเจนในโลกพระอังคาร

ครับ ต่อไปก็เรื่องของเทพพระอังคาร ซึ่งถือเป็นเทพเจ้าแห่งเลือดและสงคราม ก็น่าสยองอยู่นะครับ และยังถือพระอังคารเป็นผู้ทรงพลัง

ส่วนกำเนิดของพระอังคารนั้น ในหนังสือเฉลิมไตรภพ กล่าวไว้ว่า
“สั่งท้าวหัสดีจัดสรรค์          อัฏฐะมหิงส์วัน
เร็วพลันจัดหามาถวาย
หัสดีภิวันท์ผันผาย    นำกระบือถวาย
ยังที่สถิตพิธี
ทอดเนตรกระบือด้วยดี    ร่ายเวททั้งสี่
อัคคีลุกวับจับกาย
หิงสากายาสูญหาย        เป็นเถ้าเรี่ยราย
เกลื่อนกลายระคนปนกัน
ห่อผ้าทิพย์สีม่วงมัน        สี่องค์ทรงธรรพ์
โอมอ่านพระเวทมนตรา
ประพรมน้ำชุบสามครา    เกิดเป็นเทวา
สีหว้าอันสุกสดศรี
ทรงเครื่องรุ่งเรืองขจี        ถวายอัญชุลี
ทั้งสี่องค์พระจอมจักรวาล
จอมไตรในนามอังคาร        ไปพักฟังการ

เบญจาที่สามตามวัน”

เอาความก็ได้ว่า พระอิศวรสร้างพระอังคารจากกระบือสี่ตัว คือร่ายพระเวทกระบือก็ละเอียด แล้ห่อด้วยผ้าสีม่วง (บางตำนานว่าสีแดงหลัวหรือสีแก้วเพทาย) และก็ประพรมด้วยน้ำอมฤต เกิดเป็นองค์เทพบุตรขึ้น ก็คือพระอังคารนั่นแหะ มีบุคลิกบึกบึนแข็งแรง สีกายเป็นสีลูกหว้าคือม่วง (บางตำนานก็ว่าเป็นสีเพทายเช่นเดียวกับผ้าที่ห่อ) อาภรณ์เป็นแก้วโกเมน มีวิมานเป็นสีทับทิม ทรงมหิงสาเป็นพาหนะ

ในเรื่องกำเนิดพระอังคารไม่ใช่ง่ายๆ อย่างนี้หรอกครับ สับสนวนเกล้าอยู่เหมือนกันแหละ เรื่อง “คน” ก็มีเรื่องยุ่งๆ อยู่แล้ว แต่เรื่องเทวดายุ่งกว่าครับ แม่แต่ในหนังสือพระเป็นเจ้าของพราหมณ์ พระราชนิพนธ์ของพระมหาธีรราชเจ้าก็ทรงอรรถาธิบายไว้นิดเดียวว่า

“พระอังคาร “มังคละ” ก็เรียก “กุมมะ” ก็เรียก ไม่ปรากฎว่ากำเนิดเป็นอย่างไร (ค้นยังไม่พบ) มิสเตอร์วิลกินส์กล่าว่าเป็นเทวดาองค์เดียวกับพระขันทกุมาร รูปเป็นคน สีกายแดง ๔ กร ภูษาอาภรณ์แดง ทรงแกะเป็นพาหนะ”

ก็เพียงเท่านี้ละครับ  ก็เห็นจะต้องหนังสือเทวกำเนิดของพระยาสัจจาภิรมย์ละครับ แต่ผมก็เรียบเรียงด้วยลีลาของผมบ้างนะครับ

ว่าตามตำรับสันสกฤต เรื่องปาราศรโหราศาสตร์หรือศานติสารกล่าวว่า พระอังคารน่ะ เป็นโอรสของพระธรณี แต่ไม่ได้บอกว่าใครเป็นบิดา ทีนี้ในหนังสือปุราณะมีกล่าวว่า นางธรณีเป็นชายาของพระนารายณ์ ก็เลยลงมติเป็นเอกฉันท์กันซะเลยว่าพระอังคารเป็นโอรสของพระนารายณ์กับนางธรณี และยังว่าอีกว่า พระอังคารนั้นเกิดที่เมืองอวันตี โดยชาติกำเนิดเป็นกษัตริย์ในภารทวาชโคตรหรือวาสิฎฐโคตร มีรูปร่างสูง บึกบึน เอวเล็ก สีกายแดง ทรงภูษาแดง และทัดดอกไม้สีแดง มี ๔ กร ทรงเทพศัตรา คือ หอก ศูล และกระบอง มีนิสัยโกรธง่ายและดุอยู่สักนิด

ส่วนเรื่องที่เป็นชาติเวรแต่ปางก่อน เป็นศัตรูกับดาวพระเคราะห์ดวงไหน ด้วยเหตุใด และเป็นมิตรกับดวงไหน ก็ได้เล่าไว้ในเรื่องดาวพระเคราะห์ดวงอื่นแล้วละครับ ไม่ขอฉายซ้ำอีกละ

รูปเขียนพระอังคารนั้น เขียนเป็นบุรุษล่ำสัน หน้าตาออกจะดุๆ มี ๔ กร ถือหอก ศูล กระบอง สีกายแดง ทัดดอกไม้สีแดงอีกนั่นแหละ มีราชกาสรคือควายเป็นพาหะน

เป็นอันว่าผมเขียนเรื่องพระอังคารได้เพียงเท่านี้ครับ จะจบเพียงเท่านี้ก็ดูกระไรอยู่ ขอเพิ่มเรื่อง พระมนู สักนิดเถอะ จากหนังสือเทพเจ้าและสิ่งน่ารู้ของ ร. ๖ ครับ อ่านช้าๆ นะ เข้าใจยากอยู่สักนิด แต่ก็เกี่ยวข้องกับมนุษย์ซึ่งก็คือคนอยู่ ก็ต้องสนใจบ้างละ ผมลอกเลยครับ

พระมนู ที่กล่าวในที่นี้เป็นองค์ที่ ๗ พระมนูสวายัมภูว ผู้มีกำเนิดจากพระสวยัมภู (พรหมา) ในคัมภีร์ “มานวธรรมศาสตร์” กล่าวไว้ว่า เมื่อพระอาตภูได้ทรงสร้างน้ำขึ้นก่อน แล้วได้ทรงเอาพืชหว่านในน้ำ จากพืชนั้นได้เกิดเป็นไข่ทอง และพระอาตมภูเองได้เข้ากำเนิดในไข่ทองนั้นเป็นพระพรหมา ปีตามหา (ผู้สร้าง) แห่งโลก พระพรหมาอยู่ไข่นั้น ๑ ปี แล้วจึงแบ่งไข่นั้นออกเป็นสองภาคโดยอำนาจพระมโนเท่านั้น เหตุที่ได้มีกำเนิดในไข่ทองเช่นนี้ จึงเรียกพระพรหมาว่า “หิรัณยครรภ” เมื่อออกจากไข่แล้วพระพรหมาจึงเริ่มทรงสร้างโลกต่อไป คัมภีร์พรหมาปุราณะกล่าวว่าเมื่อได้ออกจากไข่ทองแล้ว พระพรหมาแบ่งพระองค์เป็น ๒ ภาค ชายภาค ๑ หญิงภาค ๑ ซึ่งช่วยกันสร้างพระวิษณุเป็นเจ้า แล้วพระวิษณุจึงได้ทรงสร้างบุรุษที่ ๑ ชื่อวิราช และวิราชสร้างพระมนูสวายัมภูว แต่คัมภีร์ “มัตสยะปุราณะ” กล่าวว่าพระพรหมาสร้างนางขึ้นองค์ ๑ ชื่อ สตะรูปา (หรือสรัสวดี) และตรัสชวนให้ช่วยกันสร้างภูตะ (สัตว์ มีชีวิต) ทุกชนิด คือมนุษย์ สุระ อสุระ สององค์จึงไปอยู่สำราญในที่รโหฐานด้วยกัน ๑๐๐ ปีสวรรค์ แล้วจึงได้กำเนิดพระมนูองค์ที่ ๑ ซึ่งเรียกว่าสวายัมภูวและวิราช

พระมนูสวายัมภูวองค์นี้เป็นผู้ที่รับมองธุระสร้างคน ฉะนั้นคนจึงได้ชื่อว่ามนุษย์ เพราะเกิดแต่มนู พระมนูได้สร้างประชาบดีขึ้น ๑๐ ตน เพื่อให้เป็นมาหชนกของมนุษย์สืบมา ประชาบดีหรือมาหฤาษี ๑๐ ตน คือ ๑. มะรีจิ ๒. อัตริ ๓. อังคีรส ๔.ปุลัสตยะ ๕. ปุละหะ ๖. กระตุ ๗. สวิษฐ ๘. ประเจตัส หรือทักษา ๙. ภฤค ๑๐. นารถ บางตำรับก็ออกนามประชาบดีเพียง ๗ ตน คือที่เรียกสัปตะฤาษีนั่นเอง พระมนูองค์ที่ ๑ นี้เป็นผู้รจนาคัมภีร์ที่เรียกว่า มนุสันหิตา หรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่า “มานวธรรมศาสตร์” พระมนูที่ ๑ นั้นจัดว่าเป็นพราหมณ์โดยพระชาติ

พระมนูมีกำหนดจะมาบังเกิดในโลก ๑๔ องค์ เป็นใหญ่อยู่ในโลกองค์ละ ๑ มานวันตร ซึ่งเทียบเป็นปีมนุษย์ถึง ๔,๒๐๐,๐๐๐ ปี พระมนูในเรื่องมัตสยาวตารเป็นกษัตริยชาติ โอรสพระสุริยาทิตย์ เป็นมนูองค์ที่ ๗ และในกาลบัดนี้ยังเป็นมานวันตรของพระมนูองค์ที่ ๗ นั้นอยู่

นามพระมนู ๑๔ องค์ตามลำดับต่อไปนี้ คือ ๑. สวายัมภูว ๒. สวาโรจิษ ๓. โอตตมี ๔. ตามะสา ๕. ไรวตะ ๖. จากบุษ ๗. ไววัสวัต หรือสัตยพรต ๘. สาวรรณ ๙. ทักษะวาวรรณ ๑๐ง พรหมสาวรรณ ๑๑. ธรรมสาวรรณ ๑๒. รุทระสาวรรณ ๑๓. เราจะยะ ๑๔. เภาตะยะ

พระมนูไววัสวัต องค์ที่กล่าวถึงในปางมัตสยาวตารมีโอรสที่ ๑ ชื่ออิกษวากุ และอิกษวากุนี้เป็นปฐมกษัตริย์ต้นสุริยวงศ์ ซึ่งครองนครอโยธยา จึงมีข้อความกล่าวไว้ในโองการแช่งน้ำที่พระมหาราชครูอ่านในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามว่า

“สมมติแกล้วอาทิตย์        เดอมกาล
สายท่านทรงธรณี        เรื่องหล้า”

เรื่องพระอังคาร ผมเห็นจะต้องจบเพียงเท่านี้ สั้นไปมากทีเดียว เพราะจะแถมอะไรเข้าไปอีกก็กลัวท่านผู้อ่านจะเป็นว่าเป็นยานอนหลับไป แต่ก็สั้นเฉพาะเรื่องพระอังคารเท่านั้น เทพองค์อื่นๆ ผมฝอยได้พอดีๆ ครับ

เป็นอันว่าจบสำหรับว่าด้วยเรื่องพระอังคารกันเพียงเท่านี้

ที่มา:รองศาสตราจารย์ประจักษ์  ประภาพิทยากร