พระพุทธรูปปางมารวิชัย

Socail Like & Share

ยักษ์คืออะไร ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายไว้ว่า “อมนุษย์พวกหนึ่ง ถือว่ามีรูปร่างใหญ่โตน่ากลัวมีเขี้ยวงอกโง้ง ชอบกินมนุษย์กินสัตว์ โดยมากมีฤทธิ์เหาะได้ จำแลงตัวได้ บางทีใช้ปะปนกับคำว่าอสูร และรากษสก็มี นอกจากนี้ยังแปลคำว่ายักษ์ไว้ว่า ผู้ที่ควรได้รับบูชาหรือเซ่นสังเวย”  อ่านแล้วก็เลยไม่ทราบว่ายักษ์คืออะไรอยู่นั่นเองพระพุทธรูปปางมารวิชัย

ตามความเข้าใจของเราทั่วๆ ไป ยักษ์นั้นเป็นผู้ดุร้าย ชอบกินคนและสัตว์ดิบๆ เป็นอาหาร มีร่างกายกำยำใหญ่โต เพราะเราเห็นรูปปั้นตามวัดวาอารามหลายแห่งเช่นที่วัดโพธิ์ หรือวัดพระเชตุพนในกรุงเทพฯ วัดอรุณราชวราราม หรือวัดแจ้ง หรือที่วัดพระแก้ว หรือทำเป็นรูปทวารบาลเฝ้าประตูโบสถ์วิหารก็มี ยักษ์จึงเป็นผู้ที่น่ากลัว และเป็นเครื่องหมายของความดุร้าย จนถึงกับมีคำกล่าวว่า ดุอย่างกะยักษ์กะมาร และยักษ์นั้นดูจะเป็นผู้ที่ไม่ค่อยมีกิริยามารยาทเท่าไรนัก พ่อแม่จึงมักดุลูกที่ทำอะไรตึงตังโครมครามว่า หยาบอย่างกะยักษ์กะมาร เป็นต้น เรื่องของยักษ์ของมารจึงเป็นเรื่องที่น่าค้นคว้าและศึกษาว่าเป็นมาอย่างไร

ในหนังสือเรื่องเมืองสวรรค์และผีสางเทวดา ของท่านเสถียรโกเศศ ได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า “ในวรรณคดีสันสกฤตแบ่งพวกอมนุษย์ไว้สิบกำเนิดคือ

วิทยาธร อัปสร ยักษ์ รากษส คนธรรพ์ กินนร ปีศาจ คุหยัก สิทธ และ ภูต

“ในหนังสือบาลีอภิธานัปปทีปีกา นอกจากให้รายละเอียดชื่อข้างบนนี้แล้ว ยังเพิ่มกุมภัณฑ์ขึ้นอีกกำเนิดหนึ่ง และในหนังสือว่าด้วยศิลปในทางพุทธศาสนาของ Crunwedel ให้กำเนิดพวกอมนุษย์ไว้ ๖ เหล่า คือ นาค รากษส คนธรรพ์ ครุฑ กินนรและมโหราค (งูใหญ่ชนิดหนึ่ง) ส่วนในคัมภีร์ลลิตวิสตร เติมเปรต ปีศาจ และกุษมาณฑ์เข้าด้วย ในชินะศาสนาแบ่งเป็นปีศาจ ภูต ยักษ์ รากษส กินนร กิมบุรุษ มโหราคและคนธรรพ์” นี้ว่าตามที่ท่านเสถียรโกเศศกล่าวไว้ในหนังสือดังกล่าวแล้วข้างต้น

ตามความเข้าใจของเราส่วนมาก ยักษ์นั้นมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งคือ อสูร ซึ่งแปลว่าผู้ไม่ดื่มสุรา หรือผู้ไม่กล้าหาญ มาร แปลว่าผู้ล้างผลาญ กุมภัณฑ์ ถ้าจะดูตามตัวก็แยกออกได้ กุมภ-หม้อ+อัณฑะ-ไข่ ลองแปลเอาเองก็แล้วกัน

มารนั้นตามคติของอินเดียโบราณไม่ได้หมายถึงยักษ์ แต่หมายถึงกามเทพ ส่วนพวกอสูรนั้นเล่าตามคัมภีร์ของพุทธศาสนาเรา ก็ว่ามีเมืองอยู่บนสวรรค์ เรียกว่าชั้นดาวดึงส์ ซึ่งเป็นที่อยู่ของพระอินทร์ พระอินทร์เห็นว่าเมืองหรือพิภพของอสูรนั้น เหมาะที่จะเป็นของตนมากกว่า จึงเอาสุรามอมให้พวกอสูรกิน พอพวกอสูรกินสุราเมามาย พระอินทร์ก็ชวนพรรคพวกจับพวกอสูรโยนลงมาจากเมืองสู่บาดาลหมด แล้วเข้ายึดครองพิภพของพวกอสูรแทนจนทุกวันนี้ พวกอสูรนั้นเสียใจก็เลยสาปส่งไม่ดื่มเหล้าแต่นั้นมา พวกอสูรนี้ มักจะมีลูกสาวสวย ท้าวเวปจิตติหรือท้าวไพจิตรจอมอสูรตนหนึ่งก็มีลูกสาวชื่อนางสุชาดา ท้าวไพจิตรต้องการจะให้เลือกคู่จึงป่าวประกาศให้เมืองต่างๆ ทราบ พระอินทร์ก็แปลงตัวเป็นอสูรแก่แล้วแย่งชิงนางสุชาดา พาไปไว้บนดาวดึงส์ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าอสูรนั้น ไม่ใช่มีรูปร่างน่ากลัวอะไร เพราะถ้ามีรูปร่างน่ากลัวแล้ว ทำไมจึงจะมีลูกสาวสวยได้ อย่างน้อยถึงแม่จะสวย หากพ่อไม่สวยก็น่าจะติดความน่าเกลียดจากพ่อบ้างไม่มากก็น้อย และพวกอสูรก็เป็นพวกที่เจริญแล้วเหมือนกัน ไม่เช่นนั้นพระอินทร์จะต้องไปแย่งเมืองเขาทำไม

อย่างไรก็ตาม ท่านผู้รู้กล่าวไว้ว่า เรื่องอสูรและเทวดานี้ น่าจะเป็นประวัติศาสตร์ของมนุษย์พวกใดพวกหนึ่งมากกว่าจะเป็นเรื่องของอมนุษย์ ซึ่งอาจจะเป็นเพียงความคิดความฝันโดยเขาให้เรื่องราวไว้ว่า แรกเริ่มเดิมทีในประเทศอินเดียหรือชมพูทวีปนั้นมีชนชาติหนึ่ง เรียกว่าอริยกะ ซึ่งพวกที่เจริญแล้ว เคยอยู่ในตอนเหนือของอินเดีย แล้วแยกย้ายกันลงมาเป็นอิหร่านพวกหนึ่งและฮินดูอีกพวกหนึ่ง พวกอิหร่านเรียกพวกที่มีใจดีลักษณะสูงกว่าพวกอสูรและเรียกพวกใจบาปหยาบช้าว่า พวกเทวะ ซึ่งมีหัวหน้าพระอินทร์เป็นนักเลงขี้เมา นี้ว่าตามคัมภีร์ของพวกอิหร่าน พวกอสูรกลายเป็นผู้ดี แต่พวกเทวะกลายเป็นขี้เมาไป ดังนั้นเมื่อจะเซ่นสรวงบูชาเทวดา เราจึงต้องมีสุราอยู่ในบรรดาเครื่องเซ่นเสมอไป

ในฐานะที่เราเป็นพุทธศาสนิกชน ถ้าเราเข้าไปในโบสถ์หรือวิหาร เราจะสังเกตเห็นว่าผนังโบสถ์หรือวิหารมักจะนิยมเขียนภาพพุทธประวัติ ถึงไม่ทั้งหมด ก็เขียนภาพตอนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ หรือปางมารวิชัย พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระเพลา ส่วนพระหัตถ์ขวาวางคว่ำลงบนพระชานุเบื้องซ้ายปลายพระหัตถ์ชี้ลงเบื้องล่าง เป็นการอ้างพระแม่ธรณีเป็นพยานว่า พระองค์สร้างสมพระบารมีมากมายเพียงไร ด้านหนึ่งของพระพุทธรูปทำเป็นรูปพระยามารยกทัพมาผจญไม่ยอมให้พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ทางด้านตรงกันข้ามมีรูปพระแม่ธรณีบีบมวยผมบิดน้ำ ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นน้ำทักษิโณทก ซึ่งพระพุทธองค์ได้บำเพ็ญบุญกุศลแล้วกรวดน้ำลงบนพระแม่ธรณี เมื่อแม่ธรณีบีบมวยผมน้ำที่สะสมไว้หลายพันชาติก็หลั่งออกมาท่วมนองพื้นแผ่นดิน มีจระเข้เหรามาขบกัดพระยามารและขุนมารพร้อมทหารให้พ่ายแพ้ อาวุธยุทธภัณฑ์กลายเป็นเครื่องบูชา พระยามารตนนี้เราก็เรียกว่า พวกยักษ์มารเหมือนกัน แต่ภาพที่เขียนไว้นั้นท่านกล่าวไว้ว่าเป็นเครื่องอุปมาให้เห็นเรื่องธรรมมากกว่าเป็นเรื่องของบุคคลจริงๆ

เรื่องของยักษ์มารอสูรกุมภัณฑ์นั้น เราใช้รวมเรียกกันไป ถ้าเราอ่านเรื่องรามเกียรติ์จะเห็นความจริงข้อนี้ เพราะท่านแยกพระรามกับพวกออกเป็นมนุษย์ฝ่ายหนึ่ง ส่วนพวกทศกัณฐ์เจ้ากรุงลงกาและพวกนั้น ยกให้เป็นพวกยักษ์มาร ดังคำกลอนตอนหนึ่งยืนยันความข้อนี้ว่า

“จึงมีพระราชบรรหาร        แก่พิเภกขุนมารยักษี
แต่เราปราบหมู่อสูรี        ที่มันหยาบช้าอาธรรม์
บรรดาเป็นเสี้ยนแผ่นดิน    ก็สิ้นสุดชีวาอาสัญ
เสร็จศึกซึ่งปราบกุมภัณฑ์    ท่านนั้นจึงผ่านลงกา
เป็นเจ้าแก่หมู่อสูรศักดิ์        สืบวงศ์พงศ์ยักษ์ไปภายหน้า
บำรุงรี้พลโยธา            เป็นมหาจรรโลงเลิศไกร”

กลอนตอนนี้เสมือนท่านจงใจจะอธิบายให้เห็นว่าคำว่ายักษ์นั้นเรียกกันอย่างไรบ้างนั่นเอง เพราะมีคำไวพจน์ใช้แทนคำว่ายักษ์หลายคำเหลือเกิน

ท่านผู้รู้อธิบายว่า ความจริงยักษ์นั้น เป็นชนชาติหนึ่ง และมีชีวิตอยู่จริงๆ หาใช่เป็นเพียงความคิดฝันไม่ ชนชาตินั้นคือพวกทราวิฑ หรือพวกทมิฬ ซึ่งคนพวกนี้มีถิ่นฐานอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย และครั้งหนึ่งเคยไปรุกรานกรุงลังกาพระมหากษัตริย์กรุงลังกาพ่ายแพ้แก่พวกทมิฬคงจะถูกพวกทมิฬฆ่าเสียมาก ความดุร้ายของพวกทมิฬคราวนั้นคงจะเล่าลือต่อๆ กันมา จนมีคำกล่าวว่าใจทมิฬหินชาติ เลยสร้างรูปร่างพวกทมิฬให้เป็นยักษ์เป็นมารไปก็เป็นได้

ที่มา:วิชาภรณ์  แสงมณี