ความเป็นมาเกี่ยวกับพระพรหม

Socail Like & Share

พระพรหม

พรหมา, พระ
“โอมชย ชย ไชโสฬสพรหมญาณ บานเศียรเกล้า เจ้าคลี่บัวทอง ผยองเหนือขุนห่าน ท่านรังก่อดินก่อฟ้าหน้าจัตุรทิศ ทัยมิตรดา มหากฤตราตัย อมตัยโลเกศ จงตรีศักดิ์ ท่านพิญาณปรมาธิเบศ ทัยธเรศสรสิทธิพ่อ เสวยพรหมทรใช่น้อย ประถมบุญภารดิเรก บูรพบรู้กี่ร้อย ก่อมา”

ครับ ผมคัดจากลิลิตโองการแช่งน้ำ เป็นบทสรรเสริญพระพรหมาละครับ ภาษาเก่าหน่อยเพราะแต่งกันตั้งแต่สมัยพระเจ้าอยู่ทอง กษัตริย์องค์แรกในสมัยอยุธยาโน่นใจความกว้างๆ ก็บ่งลักษณะเทพองค์นี้ละครับ

เอาภาษาสมัยใหม่หน่อยก็ในหนังสือประถมมาลาครับ
“อ้าองค์บรมปรเมศ        วรหิทธิเดช
ทรงบุษบกหงส์วิหคพา-    หนะผาดผยองผัน
เชิญช่วยพิทักษ์ธรรมนูญกฎ    อัยการระบอบบรรพ์
เป็นอาทิคือคัมภีระธรร-    มศาสตร์ส่งเป็นแก่นสาร
หลักชัยและคัมภีร์พรหมศักดิ์    กำหนดกฎมณเฑียรบาล
อย่าให้จลาจลวิการ            คือจะปลอมและเปลี่ยนแปลง”

เอาละครับ ผมคัดมา ๒ ตอนเช่นนี้ ขลังแน่นอนละ แต่ว่า คำว่า “โอม” ซึ่งผมเขียนถึงหลายตอนแล้ว ตอนนี้เห็นจะต้องวิสัชนากันเสียที

คำว่า “โอม” ถือเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ เป็นคำขึ้นต้นของการกล่าวมนต์ หรือกล่าวถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยมีนัยย่อมาจาก อะ อุ มะ

อ หมายถึงพระวิษณุ (นารายณ์)
อุ หมายถึงพระศิวะ
ม หมายถึงพระพรหม

แต่เรื่องนี้ ท่านผู้รู้ก็ว่าไม่แน่นักหรอก ท่านว่าน่าจะมีที่มาจากคำหลังดังนี้ครับ
อ หมายถึงพระศิวะ คือมี อะ ตรงท้ายศิวะ
อุ หมายถึงพระวิษณุ คือมี อุ ตรงท้ายวิษณุ
ม หมายถึงพระพรหม คือมี ม ตรงท้ายพรหม

นัยว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวให้ทรงดัดแปลงคำว่า “โอม” มาใช้ในทางพระพุทธศาสนา โดยหมายถึงพระรัตนตรัย มีนัยดังนี้

อ : อฺรหํ หมายถึง พระพุทธเจ้า
อุ : อุตตมธมฺม หมายถึงพระธรรมอันสูงสุด
ม : มหาสงฆ์

ผมเคยกล่าวแล้วในหมวดเทพองค์อื่นว่า ระหว่างเทพนารายณ์ ศิวะ และพรหมา เทพองค์ไหนจะใหญ่กว่ากัน และผมขอผัดไว้ว่า จะมาเล่าในตอนว่าด้วยพรหมา ผมขอเรียนท่านผู้อ่านละครับ ผมอ่านหนังสือต่างๆ กว่า ๑๕ เล่ม ก็ยังงงๆ อยู่เพราะเป็นเรื่องยุ่งยากสับสนเหลือที่สมองน้อยๆ ของผมจะจำได้และเรียบเรียงให้เข้าใจได้ง่ายๆ ถ้าผมสรุปเรื่องพระพรหมาสั้นๆ ง่ายๆ ก็เห็นว่าผมจะสบายคนเดียว ผมต้องให้ผู้อ่านหัวหมุนไปกับผมด้วย อย่างนี้เป็นการไม่เอาเปรียบกัน อันที่จริงถ้าสรุปสั้นๆ ในหมวดนี้ผมใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง แต่เมื่อมาแยกแยะอะไรต่ออะไรนี้ ผมใช้เวลาเป็นเดือนทีเดียวแหละ

ตามศาสนาพราหมณ์นั้น จำเดิมถือว่าพระพรหมเป็นผู้สร้างโลกและสรรพสิ่งทั้งหลาย และถือว่าพระพรหมเป็นมหาวิญญาณของสกลโลก เรียกว่า “มหาตมัน” หรือ “ปรมาตมัน” และถือว่าการบำเพ็ญบุญให้วิญญาณของตนเข้าใกล้กับมหาวิญญาณนี้เป็นบรมสุข นี่เป็นข้อปฏิบัติอันสูงสุดของศาสนาพราหมณ์ยุคก่อน ซึ่งยุคนี้ถือว่าพระพรหมไม่มีเพศ เรียกกันว่า “ปรพรหม” ไม่ใช่พรหมาซึ่งเป็นเพศชายในยุคหลัง

พระพรหมเป็นผู้สร้างโลก และโลกคงอยู่ได้มีกำหนด ๑ วันของพระพรหม คิดเป็นปีมนุษย์ได้ ๒,๑๖๐,๐๐๐,๐๐๐ ปี เมื่อสิ้นวันหนึ่งของพระพรหมแล้ว มีไฟบรรลัยกัลป์ไหม้โลก พระพรหมนั้นสร้างโลกแล้วก็บรรทมเป็นเวลา ๑ คืน ตื่นจากพระบรรทมก็เป็นเวลาไฟไหม้โลก ก็สร้างโลกอีก แล้วก็บรรทมอีก เป็นอยู่อย่างนี้จนครบ ๑๐๐ ปีของพระพรหมก็จะถึงเวลามหาประลัย คือสิ้นโลกกันเลย แต่อย่าตกใจกันเลยครับ ๑๐๐ ปีของพระพรหมนั้นถ้าเทียบเวลากับเมืองมนุษย์น่ะ ต้องเขียนเป็นตัวเลขเรียงกันถึง ๑๕ ตัวทีเดียว อย่างที่ผมเทียบไว้ในเรื่องนารายณ์แล้ว

นี่แสดงว่า จำเดิมพระพรหมเป็นเทพสูงสุด และบางคัมภีร์ก็ว่าบรรดาพระเวททั้งหลายก็ออกจากพระโอษฐ์ของพระพรหม ซึ่งก็เป็นการยืนยันได้ว่าพระพรหมก็ต้องใหญ่ที่สุด

ในยุคหลัง ได้มีเทพอีก ๒ องค์ คือพระศิวะและพระนารายณ์ จึงทำให้พระพรหมลดต่ำลงมาก เพราะตำนานต่างๆ ก็ยกย่องพระนารายณ์บ้าง พระศิวะบ้าง จนพระพรหมเหลือแต่พระคุณ ผู้คนนับถือน้อยลง จะเห็นได้ว่าทั้งประเทศอินเดียมีสถานที่บูชาพระพรหมโดยเฉพาะอยู่แห่งเดียวเท่านั้น คืออยู่ที่ตำบลปุษกะวะในแขวงอาชมีร จะมีการบำเพ็ยก็ปีละหนในวันเพ็ญเดือน ๓ เท่านั้น

เมื่อเกิดเทพอีก ๒ องค์ดังกล่าว พราหมณ์ที่นับถือเทพวิษณุ เรียกกันว่า ไวษณพนิกาย ส่วนมากก็เป็นชาวอินเดียทางภาคใต้ โดยที่ภาคใต้ของอินเดียอยู่ใกล้ทะเลพระวิษณุประทับอยู่ในเกษียรสมุทร เป็นเทพเจ้าแห่งทะเล ส่วนพวกที่นับถือพระศิวะเป็นใหญ่ เรียกว่า ไศวนิกาย ซึ่งโดยมากก็เป็นชาวอินเดียภาคเหนือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในดินแดนแถบภูเขาหิมาลัย เพราะพระศิวะก็คือเทพแห่งขุนเขานั่นเอง

เมื่อเป็นเช่นนี้ บรรดาพราหมณ์ที่นับถือเทพองค์ใดก็ต้องมีตำนานประกอบความยิ่งใหญ่ของเทพองค์นั้น เรื่องจึงต้องสับสนเพราะมีตำนานมากเหลือเกิน ผมจะเล่าเฉพาะบางเรื่องเท่านั้น

อย่างเรื่องสร้างโลก พราหมณ์ที่นับถือพระวิษณุเป็นใหญ่ ก็ยกให้ว่าพระวิษณุเป็นผู้สร้าง โดยอธิบายว่า พระวิษณุแบ่งภาคเป็นพระพรหมา และสร้างโลกขึ้นในน้ำ และบางคัมภีร์ก็ว่า พระพรหมานั้นกำเนิดในดอกบัว ซึ่งผุดจากพระนาภีของพระวิษณุ จึงต้องนับว่าพระวิษณุเป็นต้นตำรับในการสร้างโลก เพราะสร้างพระพรหมาก่อน

คัมภีร์ปัทมปุราณะ ยกพระวิษณุเป็นพระปรพรหมผู้เป็นปฐมบรมมูลแห่งโลก ในคัมภีร์ที่ว่านั้นมีดังนี้ ผมขอคัดจากพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ในหนังสือพระเป็นเจ้าของพราหมณ์

“ในเมื่อจำเดิมเริ่มรั้วสวรรค์โลก พระมหาวิษณุมีพระหฤทัยปรารถนาจะใคร่ทรงสร้างโลกทั้งหมด จึงบันดาลพระองค์ให้เป็น ๓ ภาค กล่าวคือเป็นผู้สร้าง ๑ ผู้สงวน ๑ ผู้ล้าง ๑ พระมหาบุรุษได้ทรงสร้างพระพรหมาขึ้นจากบั้นพระองค์เบื้องขวา เพื่อสร้างโลกนี้ ทรงสร้างพระวิษณุขึ้นจากบั้นพระองค์เบื้องซ้ายเพื่อสงวนโลกนี้ แล้วจึงสร้างพระศิวะมหากาลจากกลางพระองค์ เพื่อล้างโลกนี้ คนเราไซร้ บางคนก็บูชาพระพรหมา บางคนก็บูชาพระศิวะ แต่พระวิษณุเป็นเจ้า พระองค์ผู้เป็น ๑ แบ่งภาค ๓ นั้นไซร้ ทรงสร้าง สงวน และล้างโลก เหตุฉะนี้ผู้มีศรัทธาแท้จริงจงอย่าได้บูชาพระเป็นเจ้าทั้งสามนั้นให้แปลกกันไปเลย”

ส่วนพวกที่นับถือพระศิวะเป็นใหญ่ก็มีเรื่องเล่าต่อไปดังนี้ เมื่อเพลิงบรรลัยกัลป์ล้างโลกสิ้นแล้ว ก็เป็นอากาศว่างเปล่าอยู่ พระเวททั้งหลายก็มาประชุมกันเข้า บังเกิดเป็นพระเป็นเจ้าองค์หนึ่งมีพระนามว่า พระปรเมศวรเป็นเจ้า (คือพระศิวะ) พระปรเมศวรเป็นเจ้าจึงเอาพระหัตถ์ลูบพระอุระเข้าแล้วสะบัดออกไปเป็นพระอุมา พระปรเมศวร หรือพระศิวะได้ทรงปรึกษากับพระอุมาในการที่จะมาทรงสร้างโลกและสรรพสิ่งต่างๆ พระอุมาก็ทูลว่าลำพังสององค์เห็นจะทรงลำบากแน่ ทรงให้พระอิศวรสร้างเทพขึ้นอีก พระอิศวรก็ทรงเห็นด้วย ทรงใช้พระหัตถ์เบื้องซ้ายลูบพระหัตถ์เบื้องขวา บังเกิดเป็นพระนารายณ์ และใช้พระหัตถ์เบื้องขวาลูบพระหัตถ์เบื้องซ้าย บังเกิดเป็นพระพรหมธาดาขึ้น ก็แปลว่าเทพ ๕ องค์รวมทั้งพระอุมา ก็ทรงช่วยกันสรรค์สร้างสิ่งต่างๆ ขึ้น

มีอีกตำนานหนึ่ง ตำนานนี้ค่อนข้างท้าทายสติปัญญาผู้อ่านมากครับ ว่าใครจะเป็นใหญ่ คือมีเรื่องว่า บรรดาฤาษีทั้งหลายอยากรู้ว่าเทพองค์ใดจะเป็นใหญ่ที่สุด จึงพร้อมใจกันให้พระภฤคุมุนีผู้เป็นบุตรของพระพรหมไปพิสูจน์ พระภฤคุมุนีตรงไปพรหมโลกก่อน เดินเข้าไปในวิมานของพระพรหมโดยมิได้แสดงกิริยาเคารพตามประเพณี พระพรหมกริ้ว แต่ทรงเห็นเป็นบุตรก็ทรงระงับโทสะได้ ต่อจากนั้นพระภฤคุมุนีก็ไปยังเขาไกรลาส พระอิศวรก็ทรงลุกมากอด แต่พระภฤคุมุนีหันหน้าหนี พระอิศวรกริ้วจะฆ่าด้วยพระแสงตรีศูล แต่พระอุมาห้ามทัน ต่อจากนั้นพระภฤคุก็ไปยังไวกูณฐ์ เห็นพระนารายณ์บรรทมหลับอยู่ที่ตักพระลักษมี พระมุนีก็ยกเท้าขึ้นถีบกลางพระทรวง พระวิษณุเสด็จลุกขึ้นแล้วนมัสการพระภฤคุ ตรัสว่า “ข้าพเจ้ายินดีต้อนรับท่านมหาพราหมณ์ ขอเชิญท่านจงนั่งลงพักผ่อนกาย และขอจงให้อภัยแก่ข้าพเจ้า ผู้ได้กระทำผิดไปแล้วโดยความโฉดเขลาด้วยไม่ได้ลุกขึ้นนั่งรับแขกโดยเร็ว และขออภัยซึ่งทำให้เท้าอันอ่อนของท่านต้องเจ็บเพราะข้าพเจ้า” แล้วทรงเอาพระหัตถ์นวดเท้าพระภฤคุและตรัสต่อไปอีกว่า “วันนี้ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่ได้มีบุญยิ่งนัก เพราะพระคุณเจ้าได้เอาธุลีละอองพระบาทแห่งท่านอันเป็นเครื่องล้างบาปได้นั้น แตะบนหน้าอกแห่งข้า” พระภฤคุมุนีไม่ได้กล่าวอะไร ทูลลากลับมาบอกบรรดาฤาษีทั้งหลายที่อยากทราบว่า เทพองค์ใดใหญ่ที่สุด

เมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ ท่านคิดว่าใครจะเป็นเทพที่ใหญ่ที่สุดล่ะครับ ลองเดาดูก่อนก็ได้

ในตำนานน่ะ บรรดาฤาษีต่างๆ นั้นลงมติเป็นเอกฉันท์ว่าพระนารายณ์เป็นใหญ่ในเทพทั้งสาม เหตุผลก็เพราะว่าพระนารายณ์เป็นเทพที่ปราศจากโทษและความโกรธครับ

ครับ ผมเล่าตำนานเรื่องเทพองค์ใดเป็นใหญ่เพียงเท่านี้เพราะมีมากเหลือเกิน

เมื่อเกิดเทพทั้งสาม ท่านก็ว่าพระพรหมเป็นผู้สร้างโลก พระวิษณุเป็นผู้บริหารโลก และพระศิวะเป็นผู้ทำลายโลกตามกาละที่หมดยุค และต่อมาก็เกิดลัทธิ “ตรีมูรติ” คือนับถือพระเป็นเจ้าทั้งสามร่วมกัน แต่ชาวฮินดูออกจะนับถือพระวิษณุกับพระศิวะมาก ส่วนพรหมนั้นตกต่ำลงไปดังที่เล่าแล้ว

ย้อนมาเรื่องพระพรหมาต่อ ว่าถึงเรื่องกำเนิดพระพรหมโดยเฉพาะซึ่งก็ออกจะสับสนอีกนั่นแหละ เอาเป็นง่ายๆ ว่า บ้างก็ว่าพระพรหมนั้นเป็นพระสวยัมภู คือ กำเนิดขึ้นเอง ไม่มีใครสร้าง อีกเรื่องหนึ่งกล่าวว่า แต่เดิมนั้นทั้งโลกทั้งสวรรค์ยังไม่มีและก็ไม่มีอะไรเลย ยังว่างเวิ้งอยู่ พระอาตมภู (ผู้เกิดขึ้นเอง) มีพระประสงค์จะสร้างสิ่งทั้งหลายทั้งปวง จึงสร้างน้ำขึ้นก่อน แล้วเอาพืชหว่านลงในน้ำ จากพืชก็เกิดไข่ทองซึ่งเรียกว่า หิรัณยครรภ (เป็นนามหนึ่งของพระพรหม) ต่อมาไข่ทองนี้ก็แตกออกปรากฎเป็นพระพรหม นัยว่าไข่นั้นแตกออกเป็น ๒ ซีก นอกจากเกิดพระพรหมาแล้วไข่ซีกบนลอยขึ้นเบื้องบน กลายเป็นท้องฟ้า ซีกหนึ่งลอยต่ำ กลายเป็นแผ่นดิน พระพรหมก็เลยสร้างโลก ส่วนตอนจะสร้างมนุษย์นั้นพระพรหมต้องแบ่งเป็นสองภาค ภาคหนึ่งเป็นชาย ภาคหนึ่งเป็นหญิง แล้วก็ช่วยกันสร้างพระวิษณุขึ้นก่อน นี่ก็แสดงว่าในคัมภีร์นี้ถือว่าพระพรหมใหญ่ที่สุด พระวิษณุได้สร้างมนุษย์คนหนึ่งชื่อ วิราช พระวิราชสร้าง พระมนู พระมนูเป็นผู้สร้างมนุษย์อีกต่อหนึ่ง คำว่ามนุษย์ก็ออกจากศัพท์พระมนูนี่แหละ บางตำนานว่าพระพรหมไม่ได้แบ่งภาคหรอก สร้างนางขึ้นองค์หนึ่ง มีนามว่า สุรัสวดี หรือ ศตรูปา ซึ่งเป็นมเหสีของพระพรหมา แล้วก็ช่วยกันสร้างมนุษย์ สัตว์ เทวดา อสูร และพืชพันธุ์ต่างๆ

พระพรหมา มีสีกายแดง มีสี่หน้า จึงเรียกว่า จตุรานน หรือ จตุรมุข มีแปดหูจึงเรียกว่า อัษฎกรรณ มีสี่กร เครื่องถือมี ธารพระกร ช้อน (สำหรับหยอดเนยในไฟ) ประคำ ธนู ชื่อว่า ปริวีตะ หม้อน้ำ และคัมภีร์ มีมเหสีคือ พระสุรัสวดี เทวีผู้อุปถัมภ์การศึกษา มีพาหนะคือหงส์ ท่านจึงมีนามว่า หงสวาหนที่สถิตของพระพรหมเรียกว่า พรหมนฤนทา

นอกจากนี้ นามของพระพรหมยังมีอีกมากครับ จะขอเก็บมารวมๆ กันเท่าที่จะหาได

วิธิฒ เวธา ทรุหิณฒ สรัษฏก แปลว่า ผู้สร้าง
ธาดา, วิธาดา แปลว่า ทรงไว้
ปิตามหา แปลว่า บิดาใหญ่
โลเกศ แปลว่า จอมโลก
ปรเมษฎ์ แปลว่า เป็นใหญ่ในสวรรค์
สนัต แปลว่า เก่า, โบราณ
อาทิกวี แปลว่า กวีคนแรก
อาตมภู แปลว่า เป็นขึ้นด้วยตนเอง
กมลาศน์ แปลว่า มีดอกบัวเป็นที่นั่ง
พระครรไลหงส์ แปลว่า ไปด้วยหงส์ มีหงส์เป็นพาหนะ

ธาตริ, วิธาตริ แปลว่า ผู้รักษา
กมเลศ แปลว่า อยู่เหนือดอกบัว

ทีนี้จะเลยกล่าวถึงพระพรหมตามคติพุทธศาสนาบ้าง พระพรหมในทางพุทธศาสนาไม่มีเพศหญิง เพศชาย และไม่ได้เป็นผู้สร้างโลก เพราะตามพุทธโอวาทกล่าวว่าโลกนี้ไม่มีผู้สร้าง ย่อมเป็นไปตามสภาพของมันเอง ตามไตรภูมิพระร่วงอันเป็นคติทางพุทธศาสนา ซึ่งแน่นอน ก็ย่อมจะมีคติทางพราหมณ์เคล้าอยู่ด้วยกล่าวว่าเมื่อต้นภัทรกัป โลกถูกไฟผลาญหมด กลิ่นไอดินหอมขึ้นไปชั้นพรหม พรหมได้ลงมากินง้วนดินเลยหมดอำนาจ เหาะกลับไม่ได้กลายเป็นมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง ก็แปลว่ามนุษย์เป็นเหล่ากอพรหมเหมือนกัน

พรหมทางพุทธศาสนานั้น แบ่งเป็น ๒ พวก คือ รูปพรหม ได้แก่ พรหมที่มีร่างกายและ อรูปพรหม คือ พรหมที่ไม่มีรูป มีแต่จิตปรากฎ พรหมนั้นละเว้นจากการมีลูกมีเมีย ดังนั้นใครที่ละเว้นจากการครองเรือน ถือบวชเป็นพระ ก็เรียกว่า พรหมจารี แปลว่าผู้ประพฤติเหมือนพรหม ถ้าเป็นหญิงก็เรียกว่า พรหมจาริณี แต่ว่าศัพท์นี้เลือนไป หมายถึงหญิงสาวที่บริสุทธิ์ เมื่อกล่าวถึงศัพท์พรหมต่างๆ เข้าก็ขอคัดจากพจนานุกรม เลือกเท่าที่จำเป็นก็แล้วกัน

พรหมจรรย์  การศึกษาปรมัตถ์ การศึกษาพระเวท การถือพรตบางอย่าง เช่น เว้นเมถุน เป็นต้น การบวชซึ่งละเว้นเมถุน เป็นต้น
พรหมจักร  จักรวาลคำสอนของพระพุทธเจ้า
พรหมจาริณี หญิงที่ยังบริสุทธิ์
พรหมจารี ผู้ศึกษาปรมัตถ์ นักเรียนพระเวท ผู้ถือพรตบางอย่าง เช่น เว้นเมถุนเป็นต้น ในพระพุทธศาสนาหมายเอาผู้ตั้งอยู่ในธรรม มีเว้นจากเมถุนเป็นต้น เช่น ภิกษุ หญิงที่ยังบริสุทธิ์
พรหมทัณฑ์  ตามศาสนาพราหมณ์ หมายความว่า “ไม้พระพรหม” ชื่อศัตราวุธกายสิทธิ์ชนิดหนึ่ง การสาปแห่งพรหมณ์ โทษอย่างสูงคือห้ามไม่ให้ใครๆ พูดด้วยในหมู่สงฆ์ด้วยกัน

พรหมวิหาร ธรรมของพระพรหม หรือของท่านผู้เป็นใหญ่ มี ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

นอกจากนี้ยังมีศัพท์เทคนิควิชาการเฉพาะอีกครับ เช่นเด็กที่เกิดนั้นถือว่าพระพรหมจะเขียนเป็นเส้นไว้ที่หน้าผาก เพื่อแสดงให้รู้ว่ามีความเป็นความตายเป็นประการใด เรียกว่า พรหมลิขิต ลายชนิดหนึ่งมีรูปภาพประกอบที่หัวเสาในสถาปัตยกรรม มีปราสาท โบสถ์ วิหาร เรียกว่า พรหมสร ลายเป็นตาสี่เหลี่ยมซ้อนกันขึ้นไปเป็นรูปเจดีย์ มีไว้ที่หน้าจั่วเรือนแบบไทย เรียกกันว่า พรหมพักตร์

ว่าถึงเรื่องพรหมที่มีตัวตน ในเรื่องพุทธศาสนานั้นมีเรื่องน่ารู้อยู่เรื่องหนึ่งครับ คือเมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้ใหม่ๆ ทรงดำริถึงเรื่องการสั่งสอนชาวโลก แต่ก็ทรงท้อพระทัยเพราะทรงเห็นว่าพระธรรมเป็นเรื่องละเอียดอ่อนยากที่มนุษย์อย่างเราๆ จะเข้าใจได้ ขณะนั้นก็มี ท้าวสหัมบดีพรหม ได้เสด็จลงมาจากพรหมโลก อาราธนาขอให้พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงธรรมต่อไป ซึ่งว่อมจะมีผู้เข้าใจได้บ้าง ดังคำบาลีที่ท่านผูกเป็นคำฉันท์ และเรานำมาใช้อาราธนาพระก่อนเทศน์มีว่า
พฺรหฺมา จ โลกาธิปติ สหมฺปติ
กตฺอญฺชลี อนฺธิวรฺ อยาจถ
สนฺตีธ สตฺตาปฺปรชกฺขชาติกา
เทเสตุ ธมฺมํ อนุกมฺปิมํ ปชํ
แปลได้ความว่า “พระพรหมมีนามว่า สหัมบดี ผู้เป็นอธิบดีในโลก ยกอัญชลีวิงวอนพระผู้ทรงพระภาค ผู้ไม่มีผู้ใดประเสริฐยิ่งกว่า ว่า “สัตว์ในโลกนี้ที่มีมลทินในจักษุน้อย (คือมีปัญญาจักษุพอจะเห็นธรรมได้) ก็มีอยู่ ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงอนุเคราะห์ แสดงธรรมแก่หมู่สัตว์นี้เถิด”

ก็แสดงว่าพระพรหมก็นับถือพระพุทธองค์เช่นกัน แต่ต้องเข้าใจอีกนิดเถอะ พระพรหมในทางพุทธศาสนานั้นมีมากครับ มนุษย์เราทำความดีมากๆ ตายไปก็เป็นพรหมได้ แต่ในทางศาสนาพราหมณ์นั้น พระพรหมหรือพระพรหมามีองค์เดียวเท่านั้น

และจะว่าไป เทพต่างๆ อันที่จริงก็มีเอกลักษณ์ของเอกเทวดาเฉพาะองค์ครับ ในวรรณคดีไทยหลายเรื่องพรรณนาไว้ เมื่อเราอ่านเราก็เข้าใจทันทีว่าคือเทพองค์ใด ผมก็อดแทรกเรื่องในวรรณคดีไม่ได้อีกนั่นแหละ

ดังในนิราศนรินทร์
พันเนตรภูวนาถตั้ง    ตาระวัง ใดฮา
พักตร์สี่แปดโสตฟัง    อื่นอื้อ
กฤษณะนิทรเลอหลัง    นาคหลับ ฤาพ่อ
สองวิโยคร่ำรื้อ    เทพท้าวทำเมิน
บาทที่ ๑ หมายถึงพระอินทร์ บาทที่ ๒ พระพรหม บาทที่ ๓ พระนารายณ์ นิราศนรินทร์อีกบท
“วัดสงส์เหมราชร้าง    รังถวาย นามแฮ
เรียมนิราเรือนสาย    สวาทสร้อย
หงส์ทรงสี่พักตร์ผาย    พรหมโลก แลฤา
จะสั่งสารนุชคล้อย    คลาดท้าวไป่ทัน”

ในนิราศตามเสด็จลำน้ำน้อยของพระยาตรังศิษย์ศรีปราชญ์
วัดหงส์หงส์เทพไท้    ธาดา แลฤา
ไฉนบ่เห็นหงส์มา    หนึ่งน้อย
ฤาทรงกมลาศน์พา    ผยองยาตร ฟ้านา
จักสั่งสารนุชคล้อย    คลาดแคล้วฤาทัน

นิราศตามเสด็จลำน้ำน้อยของพระยาตรัง
โฉมเจ้าจะแหวกฟ้า    ฝากพรห-เมศฤา
เกรงจะชมฌานเมิน    แม่ไว้
จะฝากอิศวรกรม        ไกรลาส
ไฟราคร้อนหล้าไท้    ทั่วแหนง

นิราศกรุงเก่าของมหาฤกษ์
จะฝากประเทศด้าว    ดินแดน ใดนา
ทุกเทศทุกไทแสน    เสน่ห์น้อง
มององค์อุมาแมน    ศิวมุ่ง ชมแม่
มอบพระลักษมีพ้อง    พิษณุเจ้าจะกวน
หรือในอุณรุท พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มีความตอนพระอุณรุทบรรทมหลับอยู่ พระไทรเหาะมาดูเห็นก็แปลกใจ
“งามทรงงามองค์อรชร        งามนอนบนราชรถา
จึงคิดถวิลจินดา            จะว่าพระอิสโรโมฬี
เป็นไรไม่ทรงอุสุภราช        จะเอองค์ประพาสก็ใช่ที่
ฤาจะว่านารายณ์เรืองฤทธี    เหตุใดไม่ขี่ครุฑทรง
ฤาจะว่าบรมพรหเมศ        ไยไม่ประเวศครรไลหงส์
จะว่าอมรินทร์อินทร์องค์    เป็นไฉนไม่ทรงเอราวัณ”

เป็นอันว่าผมขอจบเรื่องพระพรหมาเพียงเท่านี้ละครับ ที่จริงนโยบายของคุณต่วยน่ะ บังคับผมให้เขียนเทพองค์ละฉบับไม่มีการต่อฉบับหน้า ผมก็พยายามทำอย่างนั้นแต่จำเป็นครับ เทพบางองค์เกี่ยวข้องกับวรรณคดีไทยหรือเรื่องไทยๆ มาก ผมก็ต้องแทรกเกร็ดๆ กันบ้างละ นี่ก็คิดไว้แล้วว่าต่อไป เทพต่อไปผมจะเล่าฉบับละองค์ละ ยกเว้นพระอินทร์เท่านั้น เพราะเกี่ยวข้องกับวรรณคดีไทยมากเหลือเกิน แล้วก็เกี่ยวข้องกับมนุษย์เสียจริงเชียว

ที่มา:รองศาสตราจารย์ประจักษ์  ประภาพิทยากร