สาเหตุที่ฝึกสมาธิวิปัสสนาได้ผลน้อย

Socail Like & Share

สมาธิ

คำบรรยายที่วัดเขมา
๑. ความเข้าใจเรื่องศีล มีการสอนว่า การฝึกสมาธิจะต้องถือศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ก่อนจึงจะฝึกสมาธิได้ผล คนจำนวนมากเข้าใจกันอย่างนั้นทำให้ไม่สนใจจะฝึก ไม่สนใจจะเข้าวัดเพราะยังติดในสุขทางโลกอยู่มาก ความจริงจะถือศีลให้บริสุทธิ์ทั้ง ๕ ข้อ หรือจะถือได้เป็นบางข้อก็ฝึกสมาธิวิปัสสนาได้ผล ทั้งนี้แล้วแต่จะได้ผลในระดับใด เพราะธัมมะไม่ประกอบด้วยกาลเวลา คือไม่ประกอบด้วยกาลเวลา ขณะทำสมาธินั้นศีลก็ครบ ๒๒๗ อยู่ เพราะไม่ได้ทำผิด ไม่ได้ทำชั่วทางกายและวาจาย่อม จะฝึกได้ผลในระดับหนึ่ง เพราะธัมมะไม่ประกอบด้วยกาลเวลาทำดีเมื่อใดก็ย่อมได้ผลดีตามส่วน เมื่อฝึกสมาธิได้ผลบ้างเห็นประโยชน์ของสมาธิแล้ว เขาก็เต็มใจถือศีลเพิ่มขึ้นดีขึ้นเอง

๒. การสอนสมาธิวิปัสสนา ส่วนมากจะสอนข้ามขั้น เป็นการฝ่าฝืนคำสอนของพระพุทธองค์ ในเรื่องการแสดงธรรมสอนว่า ให้ธรรมกถึก (ผู้แสดงธรรม) แสดงไปโดยลำดับจากง่ายไปยาก ไม่ข้ามขั้น สอนไม่เสียดสีทับถมผู้อื่น สอนโดยไม่ยกย่องตนเอง, สอนโดยไม่หวังลาภผลฯ เป็นต้น ในการสอนสมาธิวิปัสสนาได เน้นและมุ่งให้ปฏิบัติตามมหาสติปัฏฐาน ๔ มีการพิจารณา กาย, เวทนา, จิต และธรรม. หรือโดยสรุปคือ พิจารณาเรื่องกายกับจิต แต่สอนพิจารณากายยังไม่จบก็ให้พิจารณาจิต จึงเป็นการสอนไม่เป็นไปตามลำดับ คือ ในมหาสติปัฏฐาน ๔ กายให้พิจารณา ๓ ลำดับ คือ
๑. หายใจเข้ายาวก็ให้รู้ หายใจออกยาวก็ให้รู้ หายใจเข้าสั้นก็ให้รู้ หายใจออกสั้นก็ให้รู้
๒. ระงับกายสังขาร คือระงับลมหายใจให้ละเอียดให้เบาลงจนไม่ต้องหายใจทางจมูก ซึ่งเป็นระดับฌาน ๔
๓. เห็นการเกิดขึ้นและการดับ (ความเสื่อม)ในกายทั้งภายในและภายนอกของกายตน

ส่วนมากจะสอนข้ามลำดับ ไม่สอนลำดับที่ ๒ และ ที่ ๓ แล้วข้ามไปสอนจิต คือ เวทนา เป็นต้น ความจริงลำดับที่ ๓ ระงับลมหายใจ และลำดับ ๔ เห็นการเกิดดับในกายทั้งภายในภายนอกนั้นมีความสำคัญมาก สามารถละกามฉันทะ และละนิวรณ์ ๕ ได้ โดยลำดับจนถึงหมดนิวรณ์ ๕ ก็ได้สมาธิถึงขั้นสูงคือขั้นฌานตรงตามพระไตรปิฎก ละนิวรณ์ ๕ ได้ชั่วระยะหนึ่งก็ได้ฌานชั่วระยะนั้น เพราะเป็นการเห็นกายตามความเป็นจริง เป็นเหตุในเรื่องปัญญาสอนเน้นเฉพาะให้พิจารณาไปจะเกิดปัญญาเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

๓. สอนซํ้าซากอยู่เพียงระดับต้นไม่สอนในระดับสูงขึ้นตัวอย่างการพิจารณากายซึ่งมีความสำคัญมาก มีอานิสงส์ถึง ๑๐ อย่าง ข้อสุดท้ายให้ได้ปัญญาวิมุติ และเจโตวิมุติ ในมหาสติปัฏฐาน ๔ ให้พิจารณากาย ให้เห็นเป็นไม่งาม สกปรกน่ารังเกียจ น่าสะอิดสะเอียน แต่ที่สอนกันส่วนมากจะสอนให้พิจารณาอาการ ๓๒ เกศา โลมา ฯ และพิจารณาซากศพแล้วน้อมมาสู่ตนว่าต่อไป จะเป็นเช่นนั้น ซึ่งเป็นเวลาข้างหน้า อนาคตกาล แต่ที่จะต้องสอนระดับต่อไปซึ่งเป็นปัจจุบันธรรมนั้นไม่สอน หรือสอนน้อย

หลวงปู่แหวนสอนให้พิจารณาปัจจุบันธรรม ตามพระอภิธรรมเน้นไว้ กล่าวคือ หลวงปู่แหวนสอนว่า “อดีตคือธรรมเมา อนาคตคือธรรมเมา ปัจจุบันคือ ธัมโม”

๔. มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดเป็นบาปเป็นอุปสรรคที่สำคัญยิ่งในการฝึกสมาธิวิปัสสนาที่บาปมาก คือการสอนขัดแย้งกับคำสอนของพระพุทธเจ้า ตำหนิการฝึกแบบสมถะคือสมาธิและการใช้พลังจิตว่าเป็นเรื่องไม่ดี ไม่ถูก หรือได้ผลช้า ไม่ใช่ทางตรงต่อนิพพาน เป็นการอ้อมค้อมโดยไม่จำเป็น ชักจูงให้ฝึกวิปัสสนากันมาก พยายามยํ้าพยายามเน้นให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งเป็นจุดหมายของวิปัสสนา คนสมัยใหม่สมัย วิทยาศาสตร์เจริญจะเข้าใจได้ยากมาก โดยเฉพาะเรื่อง “อนัตตา” ไม่ใช่ตัวตน ไม่มีตัวตนไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล ความไม่เที่ยงไม่จริงจังเป็นเพียงธาตุ ๔ มาประกอบกันอยู่ชั่วคราว เป็น อนิจจัง จะเข้าใจแจ่มแจ้งชัดเจนยากมาก จำเป็นต้องให้มีการทดลองด้วยตนเองจึงจะเข้าใจลึกซึ้งได้ พระอาจารย์ในดงให้ฝึกสมาธิเมื่อเริ่มขึ้นสมาธิขั้นกลางก็สอนให้ทำใบไม้เป็นตัวสัตว์มีชีวิต วิธีเริ่มที่ง่ายคือ ให้ทำใบมะขามเป็นตัวแตน เอาใบมะขามใส่ในบาตร ใช้พลังจิตพลังสมาธิภาวนาพร้อมด้วยนึกภาพตัวแตนตลอดเวลา ใบมะขามจะเริ่มวิ่งวนแล้วกลายเป็นตัวแตน ลักษณะเหมือนตัวแตนจริงทุกอย่าง แต่มีอายุไม่เกิน ๗ วัน ก็กลายเป็นใบไม้ตามเดิม ซึ่งจะรู้เห็นอนิจจังและอนัตตาชัดเจนลึกซึ้งและมั่นใจ เมื่อได้ถึงสมาธิขั้นสูง พระอาจารย์จะให้เดินลอดภูเขาไปมา ทำให้รู้เห็นอนัตตา ได้แจ่มชัดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งคนและสัตว์ไม่ใช่ตัวตน จะอธิบายจะพูดให้เข้าใจยากนัก จึงมีภาษิตสอนว่า “ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ของพูดได้นั้นไม่จริง” คนไม่เคยกินเค็มเราจะอธิบายว่าเค็มเป็นอย่างไรก็เข้าใจแจ่มแจ้งไม่ได้

พระอาจารย์ในดงจะสอนยํ้ามากว่า การใช้พลังจิตพลังคุณพระเป็นวิชาผ่าน เป็นวิชาเด็กเล่น ไม่ให้ยึดติด

ประโยชน่ไนการใช้พลังจิตดังกล่าวโดยย่อคือ

๑. เป็นวิธีวัดขั้นของสมาธิได้แม่นยำว่าได้สมาธิขั้นใดแล้ว เป็นการรู้ชัดทั้งศิษย์และอาจารย์ ถ้าให้อาจารย์ตรวจเองก็รู้เฉพาะอาจารย์

๒. เป็นวิธีทำให้เข้าใจธัมมะขั้นสูงคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้แจ่มแจ้งดังที่กล่าวมาแล้ว

๓. ช่วยให้รู้วิธีใช้พลังจิต พลังคุณพระ เพื่อประโยชน์ต่างๆ ได้ เช่น ใช้พลังจิตในการรักษาโรคต่างๆ ของตนเองและผู้อื่น ใช้พลังจิตในการช่วยความจำช่วยให้เรียนเก่ง ใช้พลังช่วยให้การทำงานในการประกอบอาชีพให้ได้ผลดีหรือได้ร่ำรวยได้ด้วยอำนาจของพลังจิตพลังสมาธิ ซึ่งมีตัวอย่างอยู่มากในปัจจุบัน สมดังมีคำสอนว่า “ผู้มีจิตเป็นสมาธิย่อมสำเร็จประโยชน์ได้ทุกอย่าง”หรือ “ผู้มีจิตเป็นสมาธิย่อมทำการงานทุกอย่างได้สำเร็จ” ซึ่งต้องใช้พลังจิตอันเกิดจากสมาธินั่นเอง

การฝึกสมาธิโดยถูกต้องจนได้ฌานเห็นคนเป็นโครงกระดูก ตัวอย่างเช่น พระภิกษุที่กล่าวไว้ในพระวิสุทธิมรรค เห็นคนเป็นโครงกระดูกดับกามฉันทะได้ก็เห็นได้ว่าความสุขขนาดนั้นก็พอแล้วไม่ต้องต่อไปถึงนิพพาน พระพุทธองค์ตำหนิว่าเป็นการปฏิบัติผิด เพราะมีคำสอนว่าไม่ให้สันโดษในกุศลธรรม เมื่อเป็นกุศลธรรมต้องฝึกต่อไปจนถึงที่สุด ไม่ให้ยึดติดอยู่เช่นนั้น ใช้พลังจิตมีประโยชน์โดยย่อ ๓ ประการ ที่กล่าวมาแล้ว ถ้าไปยึดติดก็ผิดให้โทษ แต่ไม่ยึดติดก็มีแต่คุณประโยชน์มาก
๔. ในเรื่องปัญญาซึ่งจำเป็นต้องมีทุกขั้นตอน การมีการสอนในขั้นตอนการฝึกสมาธิวิปัสสนาว่าต้องใช้ปัญญาไม่ยกหมวดธรรมว่าด้วยวิธีสร้างปัญญามาประกอบ ซึ่งมี ๓ ขั้นตอน บางโอกาสยกมากล่าวก็อธิบายได้ถูกเพียงครึ่งเดียว เช่น การสร้างปัญญาขั้นที่ ๑ เกิดจากการฟัง มักจะยํ้าแต่เรื่องฟัง เช่น ตั้งใจฟัง ฟังโดยเคารพ แต่ไม่กล่าวถึงคำสอน ข้อเขียนที่สอนนั้นต้องถูกต้องตรงตามความจริง

ขอยกตัวอย่างการพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริง ถ้าเราเอาถังสูงประมาณ ๒ ศอก เอาอุจจาระใส่ลงไปหนา ๑ คืบ เอาอาหารที่ดีที่ชอบที่อร่อยใส่ทับอุจจาระจนเต็มถังให้คนตักกิน คนไม่รู้ว่ามีอุจจาระข้างล่างก็กินได้อร่อย แต่คนที่รู้ว่ามีอุจจาระอยู่ข้างล่างเขาจะไม่กล้ากิน เขาจะรังเกียจ คนที่เราหลงรักติดใจ ถ้าพิจารณาเห็นพร้อมกันทั้งภายนอกภายในก็เห็นอุจจาระหลายกองในท้อง ลองถ่ายยาดูจะถ่ายมากหลายครั้ง นอกจากอุจจาระของคนยังมีขี้เยี่ยวของตัวชีวิตหรือตัวเซลล์อยู่ทั่วไปในกาย ตัวชีวิตที่ตายจำนวนมากมายก็มีอยู่ทั่วไปในกายล้วนเป็น ซากศพ เป็นของเน่าเหม็น เมื่อครั้งผมไปฝึกภาคทะเล กับพระอาจารย์จนถึงประเทศญี่ปุ่น พักที่เกาหลี ริมฝั่งทะเลจะมีหมอของเกาหลีมาตรวจ ใครไม่มีโรคจึงออกบัตรให้ขึ้นฝั่งได้ คนมีโรคไม่ให้ขึ้นฝั่ง เขาให้โก้งโค้งก้น เอาเหล็กสเตนเลสแหย่เข้าช่องทวารประมาณลึก ๑ นิ้ว หมุนเหล็กแล้วส่องกล้องดู ไม่มีเชื้อโรคจึงออกบัตรให้ขึ้นฝั่งได้ แสดงว่ารูก้นตื้นๆ ก็มีคราบอุจจาระจับอยู่หนา และมีเชื้อโรคอยู่ด้วย ส่วนผู้หญิงเลือดระดูไหลไม่หยุดถึง ๓ วัน ช่องคลอดจึงมีเลือดเน่าจับอยู่หนา ให้ดูนํ้าประปาที่ใสสะอาด ท่อประปา ๔ หุนจะตันภายใน ๑๐ ปี เพราะตะกอนในนํ้าประปาจับเป็นหินปูนจนเต็ม เลือด น้ำกามของชายและหญิงซึ่งไม่ใสเหมือนนํ้าประปาจึงจับคราบอยู่ในช่องเพศ ช่องทวารหนักของชายและหญิง หนาและขรุขระ มีกลิ่นเหม็น ความเมาในกามจึงไม่รู้สึกขรุขระ ถ้าเห็นด้วยจิต เห็นด้วยกล้องขยายจะน่าขยะแขยงสะอิดสะเอียนมาก จะเห็นจะชอบเป็นส่วนๆ ก็ให้พิจารณาเห็นทั้งข้างนอกและข้างในพร้อมกัน เมื่อเห็นข้างนอกข้างในข้างบนข้างล่างในขณะเดียวกันนี่แหละ เห็นตามความเป็นจริง

เห็นแบบโลกีย์ คือเห็นเป็นส่วนๆ เพียงภายนอก จึงยินดี อยากเห็นอยากได้ เช่นเห็นผิวว่าสวย เห็นหน้า ตะโพก นม ดูเต่งตึงสวยงามเพราะเกิดปรุงแต่งให้ผิดไปจากความจริง

เห็นแบบโลกุตรธรรม คือเห็นตามความเป็นจริง เห็นตัวทั่วพร้อม เห็นทั้งข้างนอก เห็นทั้งข้างใน เห็นทั้งข้างบน เห็นทั้งข้างล่าง เห็นพร้อมกันหมดทั้งข้างนอก ในบนล่าง พร้อมกับความเป็นไปด้วย เห็นการเกิด การ ดับ ทั้งภายในภายนอก ขั้นแรกให้พิจารณาเห็นบางส่วน แล้วจึงเห็นเป็นส่วนรวม รู้ตามความเป็นจริงของกาย คือกายประกอบด้วยตัวชีวิตในพระไตรปิฎก เรียกว่า “ชีวิตรูป” ในภาษาแพทย์เรียกว่า ตัวชีวิต หรือ เซลล์ เป็นสิ่งมีชีวิต จึงมีการกินอาหาร เคลื่อนไหว ถ่ายออก สืบพันธุ์ และตายเน่าเปื่อย ตลอดเวลา ที่ยังออกมานอกกายไม่ทันก็มีมาก กายจึงคล้ายหลุมฝังศพของตัวชีวิต เต็มไปด้วยขี้เยี่ยวของตัวชีวิต ตัวตายและขี้เยี่ยวผ่านมาทางรูขนที่ยังไม่พ้นรูขน ก็ยังเต็มรูขนอยู่ จึงทรงกล่าวว่าร่างกายเต็มไปด้วยแผลเน่า รูขนจึงเป็นแผลเน่าขนาดเล็ก ก็มีอยู่ทั่วร่างกาย เพราะรูขนมีอยู่ถึง ๙ หมื่นรู ดังปรากฏอยู่ในพระวิสุทธิมรรค แต่ฝรั่งคำนวณว่ามี ๙ หมื่น ๙ พันรู มองดูหน้าว่าสวย ความจริงก็เต็มไปด้วยรูแผลเน่า และยังมีช่องใหญ่ระบายสิ่งโสโครกและตัวชีวิตที่ตาย ออกจากรูทวาร ๗ รู คือ ตาสอง รูจมูกสอง รูหูสอง และรูปากอีกหนึ่ง ผิวหน้าก็คือตัวชีวิตที่ตายถูกขับออก ซึ่งเรียกว่า หนังกำพร้า ทุกแห่งทุกจุดในร่างกายหรือผิวหนังที่หลงรักหลงชอบก็คือตัวชีวิตที่ตาย ที่ถูกธาตุลมขับออกมา นั่นคือตัวซากศพของเซลล์หรือตัวชีวิตถูกขับออกมา ทยอยออกมา และทยอยปลิวไปในอากาศตลอดเวลา ตัวชีวิตมีในกายถึง ๕ หมื่นล้านตัว จึงมีการตายนาทีละหลายแสน เมื่อเทียบกับยุงตัวใหญ่ เห็นด้วยตาได้ อายุเพียง ๗ วันก็ตาย ตัวชีวิตเล็กมากต้องใช้กล้องขยายอย่างดีดูจึงเห็นเกิดมาไม่ถึงหนึ่งวันก็ตายในพระไตรปิฎก มีบรรยายรายละเอียดไว้มาก เช่น กายเต็มไปด้วยตัวชีวิต (ชีวิตรูป) มีการเคลื่อนไหว การเกิดการตาย มีการพลัดพรากปลิวออกจากร่างกายตลอดเวลา ดังนั้นผิวหนังที่หลงชอบหลงรัก หลงคิดว่าสวย นั่นคือหนังกำพร้าหรือซากศพของตัวชีวิตซึ่งเห็นได้เดี๋ยวเดียวก็ปลิวไปในอากาศ หมด เพราะตัวชีวิตที่ตายอยู่ชั้นในทยอยดันออกมาอย่างต่อเนื่อง การแต่งเติมด้วยเครื่องสำอางทาพอกไว้บางๆ ก็ลวงให้หลงยิ่งขึ้น พิจารณาจากศีรษะลงมา ผมส่วนที่โผล่ออกมาจากหนังศีรษะ จะตัดก็ไม่เจ็บเพราะเป็นเส้นผมที่ตายส่วนขนก็เช่นเดียวกับผมคือส่วนที่โผล่ออกมาให้เห็นก็คือซากศพของขน (โลมา) ส่วนเล็บที่โผล่ออกมาก็คือ ซากศพของเล็บ (นขา) ฟันส่วนผิวนอกก็เป็นส่วนที่ตาย เวลากรอฟันตอนแรกก็ไม่เจ็บไม่เสียวเพราะเป็นส่วนที่ตาย พอกรอลึกไปหน่อยก็เจ็บก็เสียวเพราะยังไม่ตายทั้งตัวฟันและประสาทฟัน จะเห็นได้ว่าพระพุทธองค์ให้พิจารณา “เกศา โลมา นขา ทันตา ตะโจ,, (ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง) เป็นส่วนกายภายนอกที่มองเห็นได้หลงชอบใจว่าสวยงามที่จริงคือหลงชอบซากศพ เมื่อเทียบกับคนตายเป็นซากศพแล้วจะตบแต่งทาแป้งเสริมสวยอย่างไร เราก็ไม่ชอบไม่รักและยังรังเกียจไม่อยากเข้าใกล้ ไม่อยากจับ หรือกอดจูบ แต่ ผม ขน เล็บ ฟัน และหนัง ที่เห็นนั้น ก็ล้วนเป็นซากศพตามความเป็นจริง แต่กลับเห็นว่าสวยงามน่ารักน่าดู นั่นคือไม่เห็นตามความเป็นจริง เป็น “มิจฉาทิฎฐ” ซึ่งมีโทษมาก มีโทษหนัก ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ปรากฏในพระไตรปิฎกว่า

“ภิกษุทั้งหลาย เราไม่เห็นอะไรจะให้โทษร้ายแรงยิ่งกว่า มิจฉาทิฏฐิ” ทั้งนี้เพราะเป็นต้นเหตุให้ทำความผิดทำบาป มีผลมีโทษไม่สิ้นสุด ซํ้าซากยาวนาน หลายชาติจนกว่าจะมีความเห็นถูกเห็นชอบ (สัมมาทิฎฐิ) อนันตริยกรรม คือ กรรมหนัก ได้แก่ การฆ่าพ่อแม่ ฆ่าพระอรหันต์ เป็นต้น เมื่อให้โทษแล้วก็จบสิ้นไม่ซํ้าซาก

คนส่วนมากขาดสติในมหาสติปัฏฐาน ๔ ซึ่งให้เห็นตามความเป็นจริง เห็นรูปกายไม่งาม สกปรกน่า รังเกียจน่าสะอิดสะเอียน แม้แต่รูปคนในแผ่นกระดาษ ซึ่งมีสีบางๆ แบนอยู่ยังเห็นเป็นรูปทรงกว้างยาวนูนขึ้นได้ เกิดชอบใจขึ้นได้ อยากดูอยากได้นี่ก็เป็นการเห็นผิด ยึดมั่นในรูปกาย ยิ่งเป็นตัวคนจริงยังมีท่าทางชวนให้หลงชอบหลงรักดังกล่าวมาแล้ว แม้แต่พระในสมัยพุทธกาล ฝึกจนเห็นคนเป็นเพียงโครงกระดูก ไม่เกิดชอบใจติดใจ มีความสุขทางใจมากพอจึงพอใจไม่ฝึกให้ดียิ่งขึ้นก็ถูก พระพุทธเจ้าตำหนิ ถ้าเราหมั่นพิจารณาโครงกระดูกจริง หรือภาพโครงกระดูกจนเห็นทางจิตชัดขึ้นได้ก็ย่อมเห็นคนที่แต่งเติมสวยงามนั้นมีโครงกระดูกในกายโดยตลอด น่ากลัวน่าเกลียด ไม่นึกรักไม่นึกชอบไม่เกิดความใคร่ หรือระงับกามฉันทะซึ่งเป็นนิวรณ์ ๕ เครื่องขัดขวาง ความสำเร็จที่สำคัญได้ ตัดความหลงผิดหลงชอบหลงรักในรูปกายเสียได้ แม้เห็นรูปเห็นกายก็สักว่าเห็น ไม่เกิดความหมายอะไร ทำให้เห็นตามความเป็นจริง ไม่ชอบ ไม่รักไม่หลง จิตก็จะเป็นกลางตั้งมั่น มีแต่เมตตาเยือกเย็นสุขุมช่วยให้สมาธิก้าวหน้าสูงขึ้นโดยลำดับ

ขอให้ทุกท่านประสบแต่ความสุขความเจริญ

ที่มา:ชม  สุคันธรัต