ความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษกับการแบ่งเนื้อที่เรือนและกฎเกณฑ์การใช้เนื้อที่ของประเพณีแอ่วสาว
ผีที่ใกล้ชิดคน คือ ผีบรรพบุรุษเป็นผีประจำอยู่ในเรือนคอยดูแลเอาใจใส่ให้ลูกหลานที่ยังอยู่มีความสุขความเจริญ หากลูกหลานตั้งตนอยู่ในจารีตประเพณี หรือคอยให้ร้ายแก่คนในบ้านที่ประพฤตินอกรีตนอกรอยประเพณี นี้เป็นคติความเชื่อของคนไทยมาแต่เดิมซึ่งเดี๋ยวนี้ก็ยังนับถืออยู่ และการเรียกผีบรรพบุรุษของแต่ละภาคของไทยเรียกชื่อต่างๆ กันไป ทางภาคเหนือเรียกว่า “ผีปู่ย่า” ตามความเห็นของ Andrew Turton ผู้บรรยายวิชามนุษยวิทยา มหาวิทยาลัย ลอนดอนกล่าวว่า “ผีปู่ย่า” คือวิญญาณกลุ่มเครือญาติอาวุโส และมีความสำคัญในโครงสร้างของครอบครัวที่สิงสถิตของผีปู่ย่านั้นเขาจะปลูกศาลหรือหอไว้ทางเบื้องหัวนอน บางทีอาจจะตรงมุมบ้านที่เห็นว่าเหมาะสมศาลเป็นเรือนเล็กๆ ยกพื้นสูง มีหิ้งวางเครื่องบูชา เช่น พานดอกไม้ธูปเทียน
เชี่ยนหมากคนโทน้ำวางเอาไว้ ผีปู่ย่านี้ยังแยกออกเป็น “ผี เรือน” อีก คือเมื่อมีคนในตระกูลแยกออกไปตั้งเรือนเป็นครอบครัวใหม่ ก็จะแยกหรือแบ่งผีเอาไปด้วย คือ แบ่งเอาดอกไม้บูชาผีปู่ย่าไปยังบ้านเรือนของตนและไปทำหิ้งไว้ด้านหัวนอนไม่สร้างศาล หรือหอผีอีกเพราะถือว่าหอผีนั้นอยู่ที่บ้านเดิม คือ “เก้าผี” แล้ว หิ้งผีที่แยกมาจากหอเก้า“ผี” นั้นจะอยู่ในห้องนอนใหญ่ที่สมาชิกในครอบครัวนอนอยู่รวมกัน โดยทำหิ้งยาวประมาณ ๒ เมตร หรือเล็กกว่านั้น ติดอยู่กับฝาเรือนบริเวณที่ติดกับเสาเอก” (หรือ เสามงคล ได้แก่ เสาต้นที่ ๒ ด้านตะวันออกนับจากด้านในสุดของเรือนนอนออกมา ซึ่งจะมีเสานางอยู่ตรงกันข้าม) ฉะนั้นภายในห้องนอนนี้จึงเป็นส่วนที่สิงสถิตของผีปู่ย่าอีกด้วย ถือเป็นบริเวณหวงห้ามสำหรับผู้ที่ไม่ใช่เครือญาติหรือผู้ที่ “ไม่เป็นผีเดียวกัน” (ผีบรรพบุรุษเดียวกัน) การล่วงล้ำเข้าไปในห้องนอนซึ่งมี “ข่มประตู” แบ่งเขตไว้จะถือว่าผิดผี (ผิดจารีตข้อห้ามของสังคมลานนา ทำให้ผีบรรพบุรุษโกรธ) ผู้ที่ล่วงล้ำเข้าไปจะต้องทำพิธี “เสียผี” (คือ ต้องสมาด้วยเครื่องสังเวยพร้อมกับเงินค่าปรับ) ผู้ที่แยกผีเรือนไปด้วยนี้มักจะเป็นฝ่ายหญิงเพราะการสืบต่อผีปู่ย่านั้น สืบทอดทางผ่ายหญิง แม้ที่บ้านเก้าผีที่มีศาลแล้วก็ยังมีหิ้งผีบรรพบุรุษผีเรือนอยู่ภายในห้องนอนอีกหิ้งผีภายใน ห้องนี้เป็นที่สิงสถิตของผีที่มีอาวุโสต่ำตามศักดิ์ของเครือญาติ ส่วนวิญญาณผีบรรพบุรุษเก่าๆ แก่ๆ ก็จะอยู่กับหอผีที่อยู่นอกตัวเรือน
ฉะนั้นห้องนอนจึงเป็นห้องที่เป็นส่วนหวงห้าม และเป็นบริเวณส่วนตัวของสมาชิกในตระกูลเดียวกันเท่านั้นที่จะเข้าออกได้ ซึ่งอาจจะเรียกว่า “ส่วนใน” ก็ย่อมได้ “ส่วนนอก” ก็คงได้แก่เติ๋นและชานนั่นเองเพราะอยู่นอกเขตหวงห้ามเป็นส่วนเปิดเสรีที่แขก และบุคคลภายนอก จะขึ้นมานั่งคุยกับเจ้าของบ้านได้โดยไม่มีข้อห้ามทางสังคมแต่อย่างใด แม้กระทั่งหนุ่มจากบ้านอื่นจะมา “แอ่วสาว” ในยามค่ำคืนก็มี
เพราะทำให้ผีบรรพบุรุษหรือผีเรือนโกรธ เมื่อหนุ่ม “ผิดผี” แล้วก็ต้องทำพิธี “เสียผี” หรือ “ใส่ผี” ให้ถูกต้องตามประเพณีการ “เสียผี” หรือ “ใส่ผี” ก็คือการขอขมาต่อผีบรรพบุรุษและผีเรือนของผู้หญิงโดยฝ่ายชายจะต้องนำเครื่องสังเวยมีหัวหมูต้มให้สุก ๑ หัว ขนม ข้าวต้มมัด ดอกไม้ธูป เทียน และสุรา ๑ ขวด อาจจะมีไก่ต้มอีกสัก ๑-๒ ตัว แล้ว แต่เจ้าของผี (บิดามารดาของผู้หญิง) จะบอกให้ทราบพร้อมกับเงิน “ค่าผี” มากน้อยแล้วแต่คู่กรณีทางฝ่ายหญิงจะเรียกร้องมา นำมาให้ผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงทำพิธีสังเวย “ผีปู่ย่า” ที่หอเก้าผี หรือที่หิ้งผีภายในตัวเรือนเป็นอันเสร็จพิธี แต่อย่างไรก็ตามการผิดผีจะมีขึ้นได้ก็ต่อเมื่อหญิงและชายต่างรับปากฝากรักกันแล้ว
เมื่อหนุ่มคุยกับสาวเป็นเวลาพอสมควร หนุ่มก็มักจะชวนกันเดินกลับเป็นกลุ่ม หากหนุ่มคนใดที่มีคนรักเป็นที่ยอมรับกันแล้ว หนุ่มสาวคู่นั้นอาจจะคุยกันต่อหลังจากพวก หรือคนอื่นๆ เดินทางกลับหมู่บ้านของตนแล้ว พวกที่แอ่วสาวกลับมาดึกๆ จะมีการ “จ้อย” ขับลำนำไปตามทาง ซึ่งลำนำในการ “จ้อย” นั้นอาจจะกล่าวถึงผู้หญิงในเชิงตัดพ้อ หากเดินทางกลับเป็นหมู่บางครั้งจะ “จ้อย” ในทำนองตลกคะนองไม่เป็นสาระนักและเป็นลำนำสั้นๆ เรียกว่า “ค่าวว้อง” และ “ค่าวก้อม” เพราะเมื่อจ้อยหรือขับจบเรื่องก็จะวนขึ้นต้นบทเดิมใหม่ วนเวียนไปมา ส่วนการ “จ้อย” ในเชิงตัดพ้อนอกเหนือจากเป็นการระบายความอึดอัดในอกแล้ว ก็ยังเป็นการให้เสียงไปด้วยว่าผู้ที่ส่งเสียงอยู่นั้นมิได้มาร้าย ลำนำในช่วงนี้ส่วนใหญ่จะพรรณนาถึงดาวเดือนในยามดึกน้ำค้างและหมอกอันเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติยามค่อนรุ่ง เคล้ากับคำอวยพรให้ผู้หญิงมีความสุข ส่วนตัวผู้ชายจะวังเวงอ้างว้างในเชิงหมดหวังและทอดอาลัย เพราะหญิงมีคู่เสียแล้ว (ง่อมงันใจดวงธัยเหี่ยวม้าน บ่มีคู่ป้องนอนพิง บ่มีคู่ซ้อน ใฝ่ข้องอาสิง หนาวเย็นคิง คนเดียวดั้น เพิ่นมีคู่สมเซยซมเฝื้อฝันแต่ตัวชายเรายากไร้)
ครั้นหนุ่มกลับมาถึงบ้านก็จะนอนที่เติ๋นหน้าห้องนอนนั่นเอง โดยไม่ต้องปลุกใคร เพราะเติ๋นจะใช้เป็นส่วนนอนของลูกชายเมื่ออายุย่างเข้าสู่วัยหนุ่ม และเริ่ม “แอ่วสาว” ได้แล้ว
ที่มาโดย:วิวัฒน์ เตมียพันธ์
Leave a Reply