ประสบการณ์

Socail Like & Share

เด็กหนุ่มในเครื่องแบบนักเรียนคนหนึ่ง กำลังจดๆ จ้องๆ จะข้ามถนน เขายืนรอบนทางเท้าตรงข้ามกับทางม้าลาย รอให้ว่างจากยวดยานพาหนะที่คับคั่งเป็นอันมากอยู่ แต่ก็ยังข้ามไม่ได้อยู่ดี

ศักดากล่าวขึ้นว่า
“ว้า! ไม่รู้ไอ้ทางม้าลายนี่จะมีเอาไว้ทำไม ไม่เห็นมีรถจอดให้เราข้ามสักทีเลย เดี๋ยวข้ามกันเหอะ เอ้า แล้วไปยืนอยู่กลางถนนก่อนก็ได้นี่นา”

วุฒก็เอ่ยขึ้นว่า
“ไม่ได้หรอกเดี๋ยวก็โดนรถทับตาย”
“ดูแต่ละคนซิ โฉบไปโฉบมายังกะใส่ปีกเหาะ โดนเข้าก็แบนเท่านั้นเอง”

อีกคนจึงพูดขึ้นว่า
“ถ้าตำรวจอยู่แถวนี้ พวกนี้ก็ไม่กล้า”

“ฮื่อ! ใช่ซี ได้ถูกจับถูกปรับแย่ บางถนนใหญ่ๆ จราจรเขาเอาป้ายสีดำติดไฟเป็นรูปคนข้ามถนนให้ดูด้วยนะ พอไฟเปิดปั๊บ รถคันไหนไม่ยอมหยุดก็โดนละ”

ทุกคนพากันเดินข้ามอย่างโล่งอก เมื่อรถน้อยลง และคันที่วิ่งช้าก็หยุดที่ทางม้าลายให้ ทุกคนมุ่งไปซื้ออาหารกลางวันรับประทาน วุฒิเหลือบไปมองที่ถนนแล้วร้องว่า “โอ๊ย!”

เสียงรถเบรกจนทุกคนต้องหันไปมอง เด็กชายที่แต่งกายขะมุกขะมอมคนหนึ่งล้มกลิ้งไปบนถนน กระจาดพวงมาลัยดอกมะลิที่นำมาขายก็กระเด็นไปอีกทางหนึ่ง เด็กคนนั้นนอนนิ่งอยู่ไม่ยอมลุกเขาคงจะเจ็บมาก คนขับเดินลงมาจากรถด้วยท่าทางว่าจะโมโหจัด คนก็มามุงดูเต็มไปหมด การจราจรติดขัด เสียงบีบแตรรถดังสนั่น มีชายแต่งตัวภูมิฐานคนหนึ่งตะโกนออกมาว่า
“เฮ้ย! นั่นมันจะหยุดรออะไรที่ทางม้าลายของมันวะ? ไอ้เรายิ่งจะรีบ” แล้วเขาก็กดแตรเสียงดังลั่น

อีกคนหนึ่งแต่งกายธรรมดาๆ นั่งรถเก่ามาก ลงมาจากรถทันที แล้วพูดว่า
“คุณ! จะยังมัวยืนทำไมอยู่ล่ะ? เด็กนี่เจ็บมาก หัวเขาฟากกับถนนแรงมากจนไม่ได้สติ คุณพาเขาไปส่งโรงพยาบาลซี”

คนที่ขับรถชนเด็กก็ตอบอย่างโมโหว่า
“ไอ้เด็กนี่มันช่างเซ่อบรม ผมจะไปจอดทำไมในเมื่อไฟมันเขียว เห็นอยู่ทนโท่? ทางม้าลายก็ม้าลายซี ไฟเขียวใครเขาอุตริข้ามล่ะ?”

อีกฝ่ายก็ตอบว่า
“แล้วคุณจะมายืนดูจนเด็กตายงั้นเรอะ?”
“คุณไม่พาไป ผมพาไปเองนะ ผมจดเบอร์รถคุณไว้แล้วด้วย”

คนผิดกลับย้อนถามว่า
“คุณเป็นพ่อเด็กหรือไงนะ?”

ชายคนนั้นตอบว่า
“ผมไม่ใช่ญาติกับเด็กหรอก แต่ผมเป็นคน”
แล้วเขาก็อุ้มเด็กคนนั้นขึ้น โดยไม่รังเกียจความสกปรกเลย และมีตำรวจนายหนึ่งมาพอดี เมื่อตำรวจพยักหน้าให้ชายใจดี เขาก็อุ้มเด็กขึ้นรถของเขา รีบนำเด็กไปส่งโรงพยาบาลทันที ส่วนตำรวจก็จับกุมชายคนที่ผิดไปที่โรงพัก

วราพูดอย่างเศร้าๆ ว่า
“อือม์! น่าสงสารเด็กจัง จนแล้วยังเคราะห์ร้ายอีก”
“ใครจะไปรู้ว่าวันหนึ่งเราก็อาจเป็นเหยื่อรถมหาภัยพวกนี้ได้ง่ายๆ”

ศักดาพูดว่า
“สมัยนี้เขาก็ลงโทษกันหนักๆ แต่คนไม่ยักกลัวแฮะ”
“อย่างงี้น่ากลัวต้องเพิ่มโทษ ตอกเล็บ บีบขมับให้กลัวกันซะมั่ง”

สมมาตรเถียงขึ้นทันทีว่า
“เฮ่ย ได้นั้นมันสมัยเก่า”
“สมัยนี้อะไรๆ ก็ตะร่าง จนแน่นตะรางแล้ว คนยังไม่กลัวความผิด เห็นมีแต่เรื่องลงข่าวหนังสือพิมพ์ อ่านแล้วยังอดเสียวแทนไม่ได้นะ”

สายตาของวุฒิเมื่อเงยจากชามก๋วยเตี๋ยว ก็ได้เห็นชายรุ่นหนุ่มกลุ่มหนึ่งที่แต่งกายประหลาดมาก บางคนสวมสร้อยติดคอหอยห้อยเหรียญกลมๆ เอาไว้ตรงใต้คางน่ารำคาญตา เสื้อสีสดฉูดฉาด ลวดลายดอกไม้เหมือนเสื้อผู้หญิง ปล่อยชายยาว พับแขนสั้นเหนือต้นแขน แบะคอเสื้อจนน่าเกลียด สวมสร้อยข้อมือที่เป็นแผ่นโลหะ สลักคำขวัญที่ตนชอบ หรือชื่อตัวเอง แม้อากาศร้อนแต่ทุกคนก็สวมรองเท้าบู๊ตส้นสูงกัน

คนที่คาบบุหรี่ตรงมุมปากส่งเสียงดังลั่นร้านว่า
“เฮ้ยตี๋ ไม่รู้จักพ่อเสียแล้วรึ ไอ้ลูกชาย?”

นายตี๋ก็รีบเข้ามารับรอง อีกคนก็ตะโกนสั่งเสียงดังว่า

“เอาเบียร์มาหลายๆ ขวด เย็นเจี๊ยบนะ”
“แล้วเอายำหอยแครง ลาบเนื้อเผ็ดๆ หน่อย กับพะแนงไก่มาด้วย”

ทุกคนวางท่าเหมือนเป็นลูกเศรษฐี เมื่ออาหารถูกนำมาตั้ง ทุกคนก็กินกันอย่างมูมมาม พูดไปกินไป เมื่อวุฒิกับเพื่อนๆ จะลุกขึ้น ก็มีคนหนึ่งตะโกนขึ้นว่า
“เฮ้ย! ดูไอ้พวกนักเรียนหนีเที่ยวแน่ะเว้ย”

อีกคนเสริมขึ้นว่า
“เออจริงว่ะ…นึกว่าลูกหมาซะอีก” ทุกคนในกลุ่มนั้นหัวเราะกันดังลั่น

ศักดาฮึดฮัดขึ้นทันที
“เดี๋ยวพ่อ…” แต่วุฒิก็ดึงแขนเขาออกมาเสียก่อน

วุฒิเตือนศักดาว่า
“สู้กับคนพาลไม่มีเกียรติหรอก”
“ดีไม่ดีเราเลยจะกลายเป็นอันธพาลไปด้วย ไปกันดีกว่า”

เขาจึงชวนกันเดินดูสินค้าต่อไป แล้ววุฒิร้องร้องขึ้นว่า
“ดูนั่น!”

ทุกคนมองตามมือวุฒิ หลังตึกแถวขายสินค้าที่พวกเขาเดินชมอยู่ มีกลุ่มควันไฟสีแดงกำลังพวยพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ควันดำมืดได้ม้วนตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าในพริบตาเดียว เสียงคนเอะอะไปทั่ว ชาวจีนจำนวนมากวิ่งออกมาจากตรอกแคบๆ ที่เป็นต้นเพลิง ทุกคนมีข้าวของติดไม้ติดมือมาไม่มาก บางคนก็แบกตู้มาทั้งใบทั้งที่มันชำรุดแล้ว ความตกใจสุดขีดทำให้เขาขาดสติ บางคนก็อุ้มลูกจูงหลานร้องโวยวายให้คนช่วย ทุกอย่างชุลมุนวุ่นวาย ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร

ศักดาพูดบอกเพื่อนๆ
“ไอ้พวกนั้นตามเรามาอีกแล้ว!”
“น่ากลัวมันจะหมั่นไส้เรามากแฮะ”

ศักดาเตรียมตัวเต็มที่เพื่อรับสถานการณ์ แต่ต้องแปลกใจ เมื่อวัยรุ่นกลุ่มนั้นกลับวิ่งไปทางที่เกิดเหตุไฟไหม้โดยไม่สนใจใครเลย

ศักดาพูดขึ้นว่า
“เขาคงไปช่วยพวกโดนไฟไหม้กัน”
“พวกเราว่าไง? ไปช่วยขนของดีไหม?”

วุฒิสั่นหัวและพูดว่า
“อย่าเลย ไม่ใช่เพราะเราเห็นแก่ตัวนะ แต่นั่นพวกดับเพลิงเขามากันแล้ว ตำรวจด้วย เราถอยหลีกทางให้เขาดีกว่า อย่าเกะกะเขาเลย ยิ่งจะทำให้เขาช้า”

ทุกคนเห็นด้วยกับวุฒิ เพราะอาจช่วยได้น้อยมาก และยังจะเกะกะทางเสียมากกว่า จึงพากันออกไป

เสียงตำรวจดังขึ้นว่า
“หยุดนะ!”
ทุกคนต้องหันไปดู ก็พบว่าหนุ่มวัยรุ่นที่แต่งกายแปลกๆ กลุ่มเดิม กำลังวิ่งหนี ในมือบางคนมีของมีค่า บางคนขยุ้มธนบัตรไว้เป็นปึกๆ วิ่งกันอย่างไม่คิดชีวิต

ศักดาก็พูดขึ้นก่อนจะวิ่งกวดไป แล้วทุกคนก็วิ่งตาม
“เอาละ! ตอนนี้ฉันไม่ฟังนายละวุฒิ ฉันช่วยโปลิศจับขโมยดีกว่า”

ที่ตรอกตันแห่งหนึ่งวัยรุ่นกลุ่มนั้นก็จนมุม ตำรวจจับใส่กุญแจมือ แล้วเอาของที่ขโมยไปกลับคืน

ตำรวจพูดว่า
“พวกเรานี่ นักฉวยโอกาสจริงนะ”
“ไป….ไปโรงพัก แล้วจะไปแก้ตัวอะไรค่อยเอากันที่นั่น”

ตำรวจหันมาพูดกับวุฒิ ศักดา และวรา อย่างสุภาพว่า
“ขอบใจพวกคุณมาก คุณกล้าหาญจริงๆ และก็โชคดีที่พวกนี้ไม่ได้พกอาวุธ! วันนี้คุณทำตัวเป็นประโยชน์อย่างน่าภาคภูมิที่สุด”

เด็กหนุ่มทุกคนได้ประสบการณ์ที่ประทับใจไปอีกนาน แทบจะเหลือเชื่อว่าทุกอย่างผ่านไปในวันเดียวเท่านั้นเอง

ที่มา: จากหนังสือเรื่อง มรรยาทงาม ของ ผกาวดี อุตตโมทย์