การใช้พลังจิตขับปรอทเข้าไปรักษาโรค

Socail Like & Share

ปรอท

ใช้พลังคุณพระอย่างเดียว หรือพลังตนเองช่วยขับปรอทเข้าไปรักษาโรคต่างๆ
จัดพานบูชาครู มีดอกไม้, ธูป ๓ ดอก เทียนขาว หนัก ๑ บาท ๒ เล่ม (ไม่มีเทียนขาวก็ใช้เทียนเหลืองได้) เงินบูชาครู ๑๒ บาท
พระอาจารย์ที่ใช้ปรอทรักษาโรคต่างๆ ได้ผลดีกว่า ๓๐ ปี และสอนศิษย์ให้ทำได้ไว้หลายคนคือ พระอาจารย์ หลวงพ่อรอด หรือเรียกกันว่า “หลวงพ่อรอดเสือ” ตามประวัติว่า สมัยรัชกาลที่ ๑ หรือ สมัยต้นกรุงเทพฯ ต่อจากสมัยกรุงธนบุรี หลวงพ่อรอดเป็นผู้สร้าง “วัดประดู่ โรงธรรม” ใหม่ แทนวัดประดู่โรงธรรมเก่าและเป็นเจ้าอาวาสองค์แรก ภายหลังเรียกว่า “วัดประดู่ทรงธรรม” หลวงพ่อรอดองค์นี้เล่าลือกันว่าเป็นพระยอดเยี่ยมในด้านวิชาอาคม มีชื่อเสียงโด่งดังในการใช้ปรอทรักษาโรคต่างๆ สอนศิษย์ไว้มาก อาจารย์ทรัพย์เป็นศิษย์โดยตรงของหลวงพ่อรอด ได้สอนวิชาใช้ปรอทรักษาโรคให้อาจารย์เสงี่ยม จิตตานนท์ ถนนธรรมเกษร ซอย ๔ อ.เมือง นครสวรรค์ อาจารย์เสงี่ยมสอนวิชาปรอทรักษาโรค ให้แก่ผู้เขียน (พ.อ.ชม) เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๓ ผู้เขียน ใช้ปรอทที่ไม่มีพิษรักษาโรคต่างๆ ได้ผลดีตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๓ มาจนถึงปัจจุบัน คือ พ.ศ. ๒๕๔๐ ได้เรียนวิธีใส่ปรอทวิธีฆ่าพิษปรอทจากพระอาจารย์ในดง เมื่อเชื่อมั่นว่าฆ่าพิษปรอทหมดแล้วจึงได้ทดลองกินปรอทที่ฆ่าพิษแล้ว หลายครั้ง กินปรอทที่ฆ่าพิษแล้วครั้งละหนัก ๑ บาท, ๒ บาท, ๓ บาท และหนัก ๔ บาท ไม่มีพิษแต่กลับไปช่วยรักษาโรคต่างๆ ในกะเพาะลำไส้ให้หายได้เร็วขึ้น ตั้งแต่หลวงพ่อรอดใช้ปรอทรักษาได้ผลเร็วมาเป็นเวลา ๓๐ ปี และผู้เขียนก็ใช้ปรอทรักษาโรคมาอีกกว่า ๓๐ ปี รักษาคนไข้มามากกว่า ๒๐๐ คน ก็ได้ผลดี ไม่มีโทษไม่มี พิษได้สอนให้ศิษย์ใช้ปรอทรักษาโรคมามากกว่า ๓๐๐คน ในปัจจุบันก็ยังใช้ปรอทรักษาโรคและสอนให้ผู้สนใจรักษาด้วยปรอททุกคนโดยไม่คิดค่าสอน ติดตามผลมากว่า ๓๐ ปี ไม่พบโทษของปรอท ตามที่ทดลองรักษาโรคเอดส์ โรคมะเร็งได้ผลดีใช้เวลาไม่เกิน ๕ วัน อาการจะดีขึ้นมาก คือใน ๕ วัน ผลคือ นอนหลับได้ยาว อ่อนเพลียน้อยลง กินอาหารได้มากขึ้นความปวดหายไปวิธีได้ผลดีที่สุด คือ ใช้รักษาด้วยปรอทและยาประกอบการใช้พลังจิต ได้พยายามค้นคว้าทดลองรักษาโรคที่ฝรั่งยังไม่มียารักษาได้ผลดีอีกหลายโรค มีรายละเอียดวิธีรักษาวิธีใช้ยาและใช้พลังคุณพระพลังจิตประกอบกับยา พร้อมระยะเวลา ในการรักษาโดยเฉลี่ยจากการรักษาโรคต่างๆ เป็นเวลายาวนานจึงกล้าบอกได้ว่าโรคอะไรรักษาให้หายได้ในระยะเวลาเท่าใด ทั้งนี้เฉลี่ยได้ใกล้เคียงมากในระยะเวลาเท่าใด จากผลการรักษาของอาจารย์แผนโบราณที่รักษาได้ผลดีจริงๆ ดังปรากฏอยู่ใน “แพทย์ ๓ แผนนำสมัย” เล่มแรกและเล่มที่ ๒ อธิบายวิธีรักษาเอดส์ มะเร็ง เบาหวาน, หืด, ไซนัส, พิษสุนัขบ้า, นิ่วในไตและในดี, ต่อมลูกหมากโต ไวรัส เชื้อราแบบแห้งที่ดื้อยา ทอนซิลอักเสบ ริดสีดวงทวารและลำไส้ กระดูกหักและอื่นๆ อีก หลายอย่าง ได้บอกวิธีรักษาทุกรูปแบบและครบบอกของแสลง วิธีปฏิบัติตน, การออกกำลังกายที่พอเหมาะกับโรค การสะกดจิต และวิธีใช้พลังจิตรักษาตนเอง การไล่ผี การตอนของที่ถูกกระทำทางไสยศาสตร์ ฯลฯ เป็นต้น สงสัยถามได้ อยากจะเรียนก็สอนให้

การจัดพานบูชาครูปรอท แบบง่าย
ในพานมีดอกไม้, ธูป ๓ ดอก, เทียนหนัก ๑ บาท ๒ เล่ม เงินบูชาครู ๑๒ บาท ปรอทหนักประมาณ ๒ บาทจุดเทียนธูปบูชาพระ แล้วอัญเชิญเหมือนวิชารูดโซ่ลุยไฟแบบลัด แล้วเอานํ้ามนต์ทาฝ่ามือคนไข้ เทปรอทลงที่ฝ่ามือ โดยธรรมดาเทปรอทลงที่ฝ่ามือซ้ายของคนไข้ ตาเพ่งที่ปรอทภาวนา “คาถาปลุก” ๑ จบ พร้อมกับเอาหัวแม่มือขวาถูปรอท ฝ่ามือซ้ายของผู้รักษารองฝ่ามือซ้ายของคนไข้

คาถาปลุก ว่าดังนี้ “อมเพ็ชชะคงคง พระพุทธัง คงหนัง พระธัมมังคงเนื้อ พระสังฆังคงกระดูก พระพุทโธแว พระธัมโมแหว พระสังโฆแวะ”

ต่อไปอัญเชิญคุณพระ คุณครูอาจารย์ ให้มาใส่ปรอท ทั้งนี้เพื่อให้ศิษย์เห็นว่า คุณพระ คุณครูอาจารย์ ก็สามารถมาช่วยรักษาโรคได้จริง ให้ทำจิตเป็นสมาธิ แล้วภาวนาว่าดังนี้

“ข้าขออาราธนา คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ คุณบิดามารดา คุณครูอาจารย์ มีหลวงตาดำ อาจารย์ชาญณรงค์ หลวงพ่อรอด เป็นต้น ขอให้มาช่วยใส่ปรอทรักษาคนไข้ ณ บัดนี้ด้วยเถิด” ขณะว่าก็เอาหัวแม่มือขยี้ปรอทที่ฝ่ามือคนไข้เรื่อยไปโดยไม่ต้องภาวนาคาถา อะไรและไม่ต้องเป่า อาจจะเอามือขยี้ปรอทไปเรื่อยๆ หรือจะอธิบายให้รู้ว่าคุณพระ คุณครูอาจารย์มาช่วยได้เป็นต้น ปรอทจะเข้าไปในตัวคนไข้ เป็นปรอทที่มีพลังแล่นไปหาโรค รักษาโรคตามเจตนาที่ตั้งไว้ ที่เหลืออยู่ในฝ่ามือคนไข้เรียกว่า “ขี้ปรอท” ยังใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง เมื่อ ศิษย์เห็นแน่ชัดว่าคุณพระช่วยใส่ปรอทได้จริง ต่อไปก็ใส่ปรอทเข้าตัวคนไข้ด้วยพลังจิตพลังสมาธิของตนเป็นหลัก มีพลังคุณพระร่วมด้วย

การรักษาโรคโดยอาราธนาคุณพระมาช่วยดังกล่าวนั้นเป็นเพียงทำเพื่อสอนศิษย์ได้รู้เห็นว่าอำนาจคุณพระช่วยได้ ในการรักษาคนไข้ไปตามปกติ คือการใช้ทั้งพลังคุณพระ และพลังสมาธิของตน เมื่อเทปรอท ใส่มือคนไข้แล้ว เอาหัวแม่มือขวาขยี้ปรอทพร้อมกับ
ภาวนา “บทคาถาปลุก” คือ “อมเพชชะคงๆ………….พระสังโฆแวะ”
ต่อไปจึงภาวนาบทรักษาโรค

“สมุหะคัมภีรัง อโจระพยัง อะเสสะโต โสภะคะวา พุทโธหยุด ธัมโมหยุด สังโฆหยุด โรคภัยทั้งหลายจงหยุด หยุดด้วยนะโมพุทธายะ”

ในระหว่างที่ภาวนาคาถารักษาโรค และอัดลมหายใจไว้ ก็ใช้หัวแม่มือขยี้ปรอทให้เข้าตัวคนไข้ และแล่นไปรักษาบริเวณที่เป็นโรคหรือมีอาการเจ็บปวด แล้วเป่าลงไปที่ปรอทพร้อมกับภาวนาบทคาถาเรียกเข้าว่า “นขา โลมา ตโจ” ประมาณ ๓ หรือ ๔ จบ ต่อไปหายใจเข้าอัดลมไว้ ภาวนาคาถารักษาโรคอีกบทหนึ่ง คือ “สมิจจะ สังโฆศิษตัง สโมหะนัยยะ พุทธังละลาย ธัมมัง ละลาย สังฆังสูญหาย โรคทั้งหลายหายด้วย นะมะ- พะทะ” หัวแม่มือก็ขยี้ปรอทและเป่าลงพร้อมกับภาวนา พระคาถาเรียกเข้า ว่า “นขา โลมา ตะโจ” ๓ หรือ ๔ จบ

ถ้าจะใช้คาถาบทอื่นอีกก็ทำเช่นเดียวกันจะใช้คาถาอะไรก็ตามจะต้องมีบท “สมุหะคัมภีรัง…………..”ด้วยเสมอ ถือเป็นคาถาหลักของพระอาจารย์ในดง

เมื่อปรอทศักดิ์สิทธิ์เข้าตัวคนไข้จะมีขี้ปรอทละเอียดเหมือนแป้งฝุ่นบนฝ่ามือคนไข้ ต้องคอยเอานิ้วปาดขี้ปรอทมาใส่ลงในถ้วยน้ำมนต์เรื่อยๆ เพื่อไม่ให้ขี้ปรอทปิดรูที่ปรอทรุ่นหลังจะเข้าไปในร่างกายคนไข้ ปรอทที่เทใส่ฝ่ามือครั้งแรกเข้าร่างกายหมดก็เทปรอทเติมอีก แล้วทำเช่นเดิมจนหมดปรอทที่ต้องการใส่คนไข้

ขนาดที่จะใส่ให้คนไข้ครั้งหนึ่งใช้ปรอทหนักตามกำลังคนไข้ วันแรกใส่ หนัก ๒ สลึง เด็กใส่หนัก ๑ สลึง วันที่ ๒ ใส่หนัก ๒ บาทหรือ ๓ บาท วันต่อไปใส่หนัก ๖ บาท พิจารณาอาการของคนไข้ และความแรงของโรค เวลาที่ดีในการใส่ปรอท ตอนกลางวันอากาศร้อน ปรอทจะหนีออกไปได้ง่าย อาจแบ่งใส่ตอนเช้า ๓ บาท ตอนเย็น ๓ บาท ส่วนเด็กอาจเพิ่มเป็น ๒ สลึงหรือ ๑ บาท เมื่อใส่ปรอทเข้าร่างกายเสร็จแล้ว จะทดลองเรียกออกมาก็ได้ โดยเช็ดมือซ้ายของคนไข้ที่ใส่ปรอทให้แห้งดีแล้ว ใช้นิ้วชี้ ของเราเคาะๆ บนฝ่ามือที่ใส่ปรอท ภาวนาคาถาเรียกออกว่า “ทันตา ทันตา” ในขณะที่เคาะปรอทจะออกมา เป็นเม็ดเล็กๆ กวาดรวมกันก็เป็นปรอทมากขึ้น ถ้าใช้สมาธิขั้นกลางเคาะหรือแตะพร้อมเรียกออกปรอทจะออกมามากชั่วเดี๋ยวเดียว

เรื่องปรอทและวิธีใช้ปรอทนับว่าเป็นสิ่งจำเป็น และช่วยชีวิตคนได้มาก ยิ่งในสมัยนี้ในปี ๒๕๔๐ มีการทดลองปรมาณูจึงกระจายไปทั่วโลก ในศิลาจารึกพุทธทำนายที่อินเดียได้กล่าวไว้ว่า ปี ๒๕๔๐ ถึง ๒๕๔๑ จะได้รับภัยทุกประเทศไม่มียกเว้น แต่ภัยในเมืองพุทธศาสนาเมืองไทยจะมีภัยเบาบาง ภัยจากรังสีปรมาณูหรือรังสีที่นำมาใช้รักษาโรคนั้นร้ายแรง ฝรั่งไม่มีวิธีแก้พิษรังสี แต่ปรอทไร้โทษที่ใช้รักษาโรคนั้นสามารถล้างหรือทำลายพิษรังสีได้ วิธีที่พิสูจน์ง่ายๆ ก็คือ ผิวหนังที่ฉายแสง รักษาโรคจะมีผิวสีดำ และมีความร้อนระอุอยู่ภายในเนื้อและเส้นเอ็นบริเวณนั้นจะแข็ง ถ้านํ้ากระเด็นไปถูก จะทำให้ผิวหนังนั้นพอง แม้นานถึง ๒ เดือนนํ้ากระเด็นใส่ก็พอง แต่ถ้าใช้ปรอทที่เสกปนนํ้ามนต์ทาจะไม่พอง และผิวสีดำจะหายดำในเวลาประมาณ ๑๐ วัน ยังมีวิธีพิสูจน์อีกหลายอย่างว่าปรอทและพลังจิตทำลายล้างพิษรังสีได้

สาเหตุที่นำเรื่องปรอทมากล่าว เพราะปรอทมีความเกี่ยวข้องกับพลังจิตมาก เมื่อใช้พลังจิตใส่ปรอทเข้าทางฝ่ามือจะไปช่วยรักษาโรคเอดส์, โรคมะเร็ง, ไซนัส, ทอนซิลอักเสบ, ไวรัสบี, วัณโรคชนิดดื้อยา (ดื้อยา เพราะรักษาบ้างหยุดบ้าง, คนแพ้ยา, และวัณโรคชนิดสะปอร์ (มีพังผืดหุ้ม, ยาฝรั่งเข้าไม่ได้) เป็นต้น ความจริงปรอทรักษาโรคได้หลายอย่าง แต่ตำราฝรั่งกล่าวไว้ว่า รักษาโรคได้ ๗ ชนิด มีปรากฎในหนังสือแพทย์ศาสตร์ นิทเทส (วิชาแพทย์แผนปัจจุบัน) ของขุนนิเทสสุขกิจ อดีตเลขาธิการนายทะเบียน และหัวหน้ากองควบคุมการประกอบโรคศิลปะ กระทรวงสาธารณสุข พิมพ์ครั้งที่ ๓ พ.ศ. ๑๕๐๑ หน้า ๗๖, ๙๓, ๑๐๐, ๑๒๑, ๑๓๘, ๑๔๔, และหน้า ๑๔๙ คือ
หน้า ๗๖ ปรอทเป็นยาประเภทยาถ่าย

หน้า ๙๓ ปรอทเป็นยาขับน้ำดี
หน้า ๑๐๐ ปรอทเป็นยาบำรุงกำลัง
หน้า ๑๒๑ ปรอทเป็นยาแก้ปวด
หน้า ๑๓๘ ปรอทเป็นยาขับปัสสาวะ
หน้า ๑๔๔ ปรอทเป็นยาปรับปรุงสุขภาพ
หน้า ๑๔๙ ปรอทเป็นยาฆ่าเชื้อโรค

ฝรั่งไม่รู้วิธีฆ่าพิษปรอท จึงพากันยึดมั่นว่าปรอทมีพิษให้โทษร้ายแรงมาก แต่พระอาจารย์ในดงลึก และฤๅษีที่มีฤทธิ์รู้วิธีฆ่าพิษปรอทรู้นำปรอทมาใช้รักษาโรคต่างๆ หลายชนิดได้ผลดี ดังมีหลักฐานในศิลาจารึกวัดโพธิ์ กรุงเทพฯ พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ในหน้า ๑๖๔ (ดูได้จาก หอสมุดแห่งชาติ) ใจความว่า “มีฤๅษีชื่อ ภรัตะ เป็นผู้หมั่นเพียร และรอบรู้ในตำรับปรอท”

ในระหว่างพ.ศ. ๒๔๕๐ ถึง ๒๕๐๐ หลวงพ่อรอดวัดประดู่ทรงธรรม ใกล้สถานีรถไฟ จังหวัดอยุธยา เป็นผู้ใช้ปรอทรักษาโรคต่างๆ โดยวิธีนำปรอทเข้าทางฝ่ามือ ได้ผลดีจนมีชื่อเสียงมาก และมีศิษย์เรียนต่ออีกหลายราย ผู้เขียนเองก็ได้วิธีของหลวงพ่อรอด และของพระอาจารย์ในดง ใช้ปรอทรักษาโรคต่างๆ ได้ผลดีมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๓ จนถึงบัดนี้นับเป็นเวลา ๓๗ ปี อย่าได้หลงเชื่อว่าฝรั่งจะต้องเก่งกว่าคนไทยทุกอย่าง เมื่อเห็นว่าฝรั่งรู้จักฆ่าพิษงูเอามาทำยาฆ่าพิษเชื้อโรค เอามาทำยาได้หลายอย่าง แต่ฆ่าพิษปรอทไม่เป็นก็เลยเชื่ออย่างงมงายไปว่า ไม่มีชาติอื่นจะฆ่าพิษปรอทได้ วิธีฆ่าพิษปรอทเพื่อนำมารักษาโรคต่างๆ ได้ผลดีนั้น ผู้เขียนได้อธิบายไว้โดยละเอียดในหนังสือแพทย์สามแผน และได้สอนให้คนอื่นใช้ปรอทรักษาโรคต่างๆ มากว่า ๓๐ ปี (สามสิบปี) โดยใช้พลังจิตพลังคุณพระประกอบกับปรอทพระอาจารย์ในดง สอนวิธีฆ่าปรอทและรักษาโรค ในพระไตรปิฎกฉบับภาษาไทยของกรมการศาสนา (ชุด ๘๐ เล่ม) เล่ม ๔๗ หน้า ๖๓๒ กล่าวถึงวิธีรักษาโรคไว้ ๕ วิธีดังนี้

การรักษาโรค ๕ อย่างคือ “รักษาทางเสกเป่า (ใช้พลังจิต) ทางผ่าตัด, ทางยา, ทางภูตผี, รักษาทางกุมาร” รักษาทางภูตผี คือการใช้พลังจิตไล่ผีที่มาเข้าคนหรือถอนของที่ถูกกระทำทางไสยศาสตร์ ฝรั่งไม่ใช้วิธีเสกเป่า (วิธีใช้พลังคุณพระพลังจิต) และวิชาทางภูตผี จึงรักษาโรคไม่หายหลายอย่าง

“อย่าใช้ก่อนหา อย่าว่าก่อนเห็น”
ฝรั่งเอาของมีพิษมาทำยาได้ ฆ่าพิษได้ พากันเชื่อถือยกย่องเช่นเอาพิษงู เอาเชื้อโรคซึ่งมีพิษภัยมาฆ่าพิษทำยาหลายอย่าง กลายเป็นยาดีพากันเชื่อยกย่อง เอาของมีพิษภัยมาใช้รักษา เช่นรังสี, ยาคีโม และยาอื่นๆ ที่มีพิษภัยมาใช้ ก็เชื่อฝรั่ง แต่พระอาจารย์ในดง ฤๅษีผู้มีฤทธิ์ ฆ่าพิษปรอทได้ ฆ่าพิษยาอื่นๆ มาเป็นยาที่ดี กลับไม่เชื่อไม่พิสูจน์ การใส่ปรอทจะใส่มากน้อยเพียงใด ให้พิจารณาโรคอะไรและกำลังคนไข้ที่จะรับได้ และผลที่เกิดจากการใส่ปรอท

ผลที่เกิดขึ้นจะสังเกตได้หลังจากใส่ปรอทไปแล้ว ๑ วันหรือ ๒ วัน คือมีผลให้นอนหลับได้สนิท หลับได้ยาว อาการเจ็บปวดลดลงกินอาหารได้ดีขึ้น รู้สึกมีกำลัง ความอ่อนเพลียน้อยลง

การใช้พลังจิตรักษาโรคต่างๆ ก็ทำเช่นเดียวกับการส่งพลังไปทำให้คงกระพัน ทำให้เอามือล้วงน้ำเดือดได้ตักกินได้ และการส่งพลังจิตพลังคุณพระกอบโซ่ที่เผาไฟจนร้อนแดงได้ การใส่ปรอทได้มีหลักสำคัญเหมือนกัน คือ อาราธนาคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดา
มารดาคุณครูอาจารย์ให้มาช่วย    การทำจิตให้เป็นสมาธิ เพ่งจิตส่งพลังจิตไปยังที่ต้องการให้เกิดผลตามที่ต้องการ ส่วนบทคาถาที่นำมาใช้ก็มีต่างๆ ตามที่จะให้เกิดผลอะไร

การที่กล่าวว่า ในวันเดียวก็สอนให้ทำสมาธิ¬วิปัสสนา และใช้พลังจิตให้เกิดประโยชน์ต่างๆ ได้นั้น ก็สอนให้ศิษย์ลงมือทำสมาธิวิปัสสนาให้ถูกต้องและให้ศิษย์รู้ตรวจสอบได้ด้วยตนเองว่า เวลานี้ตนได้สมาธิอยู่ในระดับใด และจะฝึกให้ก้าวหน้าต่อไปนั้น ปฏิบัติอย่างไร ? เมื่อให้ศิษย์ลงมือทำสมาธิวิปัสสนาได้ถูกต้อง และรู้วิธีที่จะฝึกให้ก้าวหน้าต่อไปแล้วจึงสอนให้ใช้พลังจิตจากง่ายไปยากตามลำดับที่กล่าวมาแล้ว ด้วยวิธีการดังกล่าวนี้จึงสอนให้ทำสมาธิวิปัสสนา สอนให้ใช้พลังจิตรักษาโรคที่ฝรั่งไม่มียารักษาที่ได้ผล คือ ให้รู้วิธีรักษาโรคเอดส์ โรคมะเร็ง และโรคอื่นๆ ได้จริงอีกหลายโรค และผู้เขียนทำการสอนดังกล่าวมาแล้วได้ผลแล้วทุกคนมาเป็นเวลากว่า ๓๕ ปี จึงกล้ากล่าวกล้าเขียน เป็นลายลักษณ์อักษรยืนยันไว้ เพื่อมิให้วิชาดีๆ เสื่อมสูญไป เป็นการช่วยเพื่อนมนุษย์และส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้เห็นให้เชื่อว่าคุณพระมีจริงช่วยได้จริง

ประเทศไทยไม่เป็นเมืองขึ้น ไม่เป็นคอมมิวนิสต์ และไม่ได้รับภัยร้ายแรงเหมือนประเทศอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด ก็เพราะคุณพระช่วยได้จริง กฎโดมิโนของฝรั่งที่ว่ารอบๆ เป็นคอมมิวนิสต์ ประเทศอยู่กลางก็ต้องเป็น คอมมิวนิสต์รอบๆ เป็นเมืองขึ้น กลางก็ต้องเป็นเมืองขึ้น เขาเอาเป็นเมืองขึ้นโดยให้ผู้นำประเทศไปลงเรือรบเขา แล้วเซ็นสัญญายอมเป็นเมืองขึ้นพม่าไม่ยอมจึงรบกับฝรั่ง ๓ ชั่วโมง ตายมากก็ยอมเป็นเมืองขึ้น ส่วนไทยสมัยรัชกาลที่ ๕ พอลงเรือของฝรั่งเรือรบเอียง ฝรั่งตกใจยังไม่กล้าให้เซ็นสัญญา รอพิจารณาดูก่อน แต่คืนนั้นในห้องแม่ทัพฝรั่งซึ่งมีการป้องกันกันรอบคอบ ก็มีอาจารย์ในดง ที่ไม่ได้บวช หายตัวเข้าไปเอาดาบจี้คอขู่ให้ถอยกลับไป มิฉะนั้นจะถูกฆ่าได้ทุกเวลา รุ่งเช้าเรือรบฝรั่งก็ไม่กล้ามาเอาเป็นเมืองขึ้นรีบกลับประเทศตน ในประวัติศาสตร์ ก็มีกล่าวถึงโกษาปานไปฝรั่งเศส ได้ให้ทดลองทำพิธียิงโกษาปานไม่มีอันตราย เรื่องเรือรบฝรั่งยอมถอยไป ผู้เขียนได้ฟังจากพระอาจารย์ในดงเอง และทราบรายละเอียดหลายเรื่อง ในประเทศไทยมีพระและคฤหัสถ์ที่เรียนจบฌานจำนวนมากและอาจารย์ในดงที่มีฤทธิ์ก็มีมาก ทำหน้าที่สำคัญคือสืบต่อพระพุทธศาสนา หลักสูตรสุดท้ายก่อนจะเรียนเหาะ มีกฎให้สอนศิษย์ให้จบฌาน อย่างน้อยหนึ่งรุ่น และการจะให้ศาสนาดำรงอยู่ได้ก็ต้องรักษาประเทศชาติไว้ด้วย เพราะไทยเป็นที่ตั้งมั่นคงใกล้เคียงสมัยพุทธกาลมากกว่าประเทศอื่นๆ เมื่อมีภัยพิบัติมากในไทยท่านผู้มีฌานมีฤทธิ์ ทั้งในประเทศในป่าก็ช่วยให้หนักเป็นเบาหรือหมดไป ให้สังเกตใน พ.ศ.๒๕๔๐ ประเทศต่างๆ มีภัยมากตายมาก และมีภัยซํ้าซากมาก แต่ประเทศไทยภัยน้อยตายน้อยกว่าประเทศอื่นๆ และ พระอาจารย์ในดงก็ออกมาชั่วคราวและมาอยู่นานวันหลายจังหวัดเพื่อช่วยประเทศชาติ มีการเหาะการหายตัว ให้คนเลื่อมใสในศาสนาได้เห็น และเชื่อในพระไตรปิฎก เลื่อมใสยิ่งชึ้น เพราะเห็นความอัศจรรย์มีการเหาะเหินได้จริง มีเทวดา ผี นรกสวรรค์จริง ตามพระไตรปิฎก ผู้ยังหลงผิดไม่เชื่ออย่างเหนียวแน่น ก็แล้วแต่บุญกรรม เหมือนสมัยพุทธกาล.

ในระยะกึ่งพุทธกาลทั้งฝรั่งและไทยมีการทำนายเหตุการณ์ผิดบางถูกบ้าง ทำนายเปลี่ยนไปต่างๆ เรื่อยมา เพราะเป็นการทำนายแบบโลก ส่วนการทำนายที่แม่นยำ และไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะจารึกอยู่ในศิลาจารึกที่พุทธคยา ได้แปลเป็นไทยพิมพ์แจกเมื่อ ๕๐ ปีที่แล้ว ซึ่ง แม่นยำทุกข้อ สมเหตุสมผล เป็นพุทธทำนาย ที่ยึดถือ และพิสูจน์ได้ ด้วยการดูเหตุการณ์จริง ในปี ๒๕๔๐ ถึง ต้นปี ๒๕๔๑ มีเขียนไว้ในหนังสือ “แพทย์ ๓ แผน นำสมัย” หน้า ๒๐๒ ในหัวข้อว่า ภัยร้ายแรงกำลังเกิด และวิธีเอาตัวรอด พิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๙ เล่มละ ๙๐ บาท มีอธิบายวิธีรักษาโรคเอดส์, มะเร็ง, เบาหวาน, หืด, ไซนัส, พิษสุนัขบ้า, นิ่วในไต ในถุงน้ำดี, ต่อมลูกหมากโต อักเสบ, ริดสีดวงทวาร และโรคอื่นๆ ที่ฝรั่งยังไม่มียารักษา

แพทย์ ๓ แผนนำสมัย มี ๒ เล่ม อธิบายวิธีรักษาทุกรูปแบบ และครบวงจร คือ อ่านแล้วสงสัยก็ถามได้ ขอเรียนก็สอนให้โดยไม่คิดค่าสอน สอนและให้พิสูจน์มาเป็นเวลา ๔๐ ปี นับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๐ สอน รักษาโรคครบ ๕ วิธี ตามที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎกของกรมการศาสนาเล่ม ๔๗ หน้า ๖๒๓ กล่าวถึงวิธีรักษาโรค ๕ อย่างคือ “รักษาทางเสกเป่า, ทางผ่าตัด, ทางยา, ทางภูตผี, รักษาทางกุมาร” รักษาทางเสกเป่าคือการใช้พลังคุณพระ พลังจิต รักษาทางภูตผีคือการไล่ผีที่เข้าสิง การถอนของที่ถูกกระทำทางไสยศาสตร์ แพทย์ฝรั่งไม่ใช้ ไม่สอนวิธีเสกเป่า และวิชาทางภูตผี จึงรักษาโรคไม่ได้ ผลหลายโรค ส่วน “แพทย์ ๓ แผนนำสมัย” สอนครบ ๕ อย่าง พร้อมทั้งวิธีเสกเป่ายา วิธีใช้พลังจิตรักษาตนเอง ของคนไข้ ฯลฯ

อุบายการสอนให้ใช้พลังจิต ทำสมาธิ และรักษาโรคต่างๆ ให้ศิษย์ทำได้ในวันเดียว ก็คือสอนให้ทำสมาธิถูกต้อง และวิธีวัดได้เองว่าตนได้สมาธิขั้นใดแล้ว จะฝึกต่อไปอย่างไรต่อไปสอนให้ใช้พลังจิตออกภายนอก เช่นวิชาคงกระพัน วิชาดันพิษร้อนนํ้าที่กำลังเดือดให้ตักกินได้ สอนดับพิษโซ่เหล็กที่เผาไฟแดงให้จับและกอบขึ้นได้ เมื่อแน่ใจมั่นใจว่าส่งพลังจิตออกได้แล้ว ก็สอนเชิญคุณพระมารักษาโรคได้โดยไม่ใช้พลังของตน แล้วสอนรักษาโรคต่างๆ ด้วยตนเอง ที่สำคัญ คือให้ลงมือทำ ทำผิดก็ให้แก้ไขให้ถูกต้อง นี่คือ อุบายให้สอนจบได้ในวันเดียวทั้ง ๔ ขั้น.
“อย่าใช้ก่อนหา อย่าว่าก่อนเห็น”

ที่มา:ชม  สุคันธรัต