กาลครั้งหนึ่ง มีสามีภรรยาคู่หนึ่งมีลูกสาวชื่อินุ วันหนึ่งสองคนผัวเมียได้ไปหาปลา และเมื่อสามีได้ปลาแต่ละครั้ง ภรรยาก็จะพูดว่า
“ให้อินุตัวหนึ่ง ให้อินุตัวหนึ่ง”
หล่อนพูดอย่างนี้ทุกครั้ง จนในที่สุดสามีเกิดโมโหเอาด้ามสวิงตีภรรยาจนถึงแก่ความตาย ภรรยาจึงกลายเป็นปูทองอยู่ในแม่น้ำนั้น
ต่อมาชายผู้สามีและลูกสาวของเขาก็ได้ทำไร่เป็นอาชีพ วันหนึ่งอินุได้เอาฟักทองในไร่ไปขายที่บ้านแม่ของอิเนา แม่ของอิเนาก็ซื้อฟักทองไว้ และเอาข้าวเปลือกให้เป็นค่าฟักทอง แต่แทนที่นางจะเอาข้าวเปลือกใส่ลงในกระจาดเพียงอย่างเดียว นางกลับเอาก้อนหินใส่ลงไปด้วยแล้วเอาข้าวเปลือกกองไว้ข้างบน เมื่ออินุจะยกกระจาดขึ้นทูนบนศีรษะจึงยกไม่ขึ้นเพราะหนักก้อนหิน แม่ของอิเนาก็ไม่ยอมช่วย และบอกให้อินุร้องเรียกพ่อของหล่อนมาอินุก็ร้องเรียกพ่อ เมื่อพ่อของอินุมาถึง แม่ของอิเนาก็จัดแจงหาอาหารแล้วเชิญให้พ่อของอินุกิน พอกินอิ่มแล้วอินุก็ชวนพ่อกลับ แต่แม่ของอิเนาพูดว่า
“ไม่ได้ละ เขากินข้าวกับฉันแล้วทีนี้เขาก็เป็นสามีของฉัน แกจะกลับก็กลับไปคนเดียวซิ พ่อแกไปไม่ได้”
“ฉันก็จะไม่อยู่เหมือนกัน” พ่อของอินุพูดขึ้น “ถ้าไม่มีลูกสาวของฉันอยู่ด้วย”
“งั้นก็ตกลง” แม่ของอิเนาพูดขึ้น “ให้อินุอยู่ด้วย”
ด้วยเหตุนี้ทั้งหมดก็อยู่ด้วยกัน
อินุและอิเนาได้ไปเลี้ยงควายด้วยกันทุกวัน แต่แล้ววันหนึ่งแม่ของอิเนาได้ให้อิเนาอยู่บ้านเพื่อทอผ้า ให้อินุไปเลี้ยงควายเพียงคนเดียว ตอนนี้แม่ของอินุซึ่งตายไปแล้ว และได้ตายไปแล้ว ได้แลเห็นลูกสาวเศร้าโศกไม่มีความสุข จึงมาปลอบและเอาก้ามหวีผมให้ลูกสาวทุก ๆ วัน
ฝ่ายแม่ของอิเนาสังเกตเห็นผมของอินุเรียบร้อยผิดธรรมดาก็เฆี่ยนตีซักถาม
“นี่แกไปสำราญองค์อยู่ที่ไหน หนอยแน่ให้ไปเลี้ยงควายกลับไปนั่งแต่งตัวเสียนี่”
แต่อินุก็ไม่ยอมปริปากเล่าเรื่องให้ฟัง
วันหนึ่งแม่ของอิเนาก็ตามอินุเข้าไปในป่าเฝ้าคอยดูอยู่ในขณะที่อินุกำลังเลี้ยงควาย นางแม่เลี้ยงได้แลเห็นปูทองมาหวีผมให้อินุ นางก็คิดพยาบาทจะหาทางฆ่าปูทองเสียให้จงได้ นางจึงกลับมาบ้านและแกล้งทำเป็นป่วย เอาข้าวเกรียบวางไว้ใต้เสื่อที่นอน ทุกครั้งที่พลิกตัวไปมาข้าวเกรียบก็หักเสียงดังกรอบแกรบและหล่อนก็จะร้องโอดครวญขึ้นว่า
“โอย พ่อเอ๋ย กระดูกของฉันหักหมดแล้ว มันลั่นกรอบแกรบไปหมด”
พ่อของอินุเชื่อว่าหล่อนป่วยจริงจึงเข้าไปเฝ้าดูอาการ หล่อนจึงพูดขึ้นว่า
“ไปตามหมอให้ทีเถอะ”
แท้ที่จริงนั้นหล่อนได้นัดแนะกับหมอไว้แล้ว โดยสั่งว่าถ้าสามีของหล่อนมาหาละก็ให้บอกว่า อาการของโรคจะหายได้ก็จะต้องกินมันของปูทองเท่านั้น เมื่อพ่อของอินุไปหาหมอ หมอจึงแกล้งทำเป็นตรวจอาการของแม่เลี้ยงแล้วบอกตามที่แม่เลี้ยงสั่งไว้ พ่อของอินุเชื่อก็จะไปจับปูทองมาให้
อินุ ได้ยินว่าเขาจะเอาปูทองมาฆ่ากินก็รีบไปบอกแม่ของหล่อน
“ระวังตัวไว้หน่อยนะแม่ เขาจะมาจับแม่ไป ถ้าเขามาที่ริมฝั่งก็หนีไปอยู่เสียกลางแม่น้ำ ถ้าเขาออกมากลางแม่น้ำก็หลบเข้าไปอยู่เสียริมฝั่ง”
ปูได้หลบเลี่ยงตามคำบอกของอินุุุอยู่เช่นนี้หลายวัน พ่อของอินุุก็ยังจับปูไม่ได้ แม่เลี้ยงของอินุุุจึงพาลหาเรื่องกับอินุ และใช้ให้อินุไปจับปูทองมาให้หล่อน แต่ถึงแม้ว่าอินุจะไปจับปูทุก ๆ วัน อินุก็ไม่ได้ปูกลับมาบ้าน ในที่สุดปูได้แลเห็นลูกสาวโศกเศร้าจึงพูดว่า
“จับแม่ไปเถอะ ลูกจะได้หมดทุกข์ทรมาน และแม่จะได้หมดกรรมที่จะเป็นปูต่อไป ปล่อยให้เขาทำตามแต่เขาจะปรารถนาเถิด”
เมื่อปูพูดเช่นนั้นหลายครั้งหลายหน อินุก็จำใจจับปูกลับไปบ้าน แม่เลี้ยงจึงให้อินุต้มน้ำเอาปูลงต้ม อินุจำใจทำตามคำสั่ง และเมื่อน้ำเริ่มร้อน ปูก็พูดขึ้นว่า
“ลูกเอ๋ย ขาของแม่ร้อนเหลือเกิน”
อินุุได้ยินเช่นนั้นจึงราไฟเพื่อไม่ให้น้ำร้อนมากขึ้นแต่แม่เลี้ยงแลเห็นเข้า จึงตีและให้ใส่ไฟเข้าไปอีก พอน้ำร้อนมากขึ้นปูก็พูดว่า
“ลูกเอ๋ย อกของแม่ร้อนเหลือเกิน”
อินุก็ราไฟอีก แม่เลี้ยงเห็นเข้าก็เฆี่ยนตีให้ใส่ไฟเข้าไปอีก ปูแลเห็นลูกถูกตีเช่นนั้นก็สงสาร จึงพูดขึ้นว่า
“ลูกเอ๋ย เมื่อแม่ตาย จงรวบรวมกระดูกของแม่ไปฝังไว้ใกล้พระเจดีย์”
เมื่อพูดแล้วก็ขาดใจตาย แม่เลี้ยง เมื่อเห็นปูสุกแล้วก็แบ่งปูให้อินุุเอาไปให้เพื่อนบ้านรวมเจ็ดบ้านด้วยกัน เมื่ออินุเอาไปให้บ้านไหน อินุก็บอกบ้านนั้นว่า
“อย่าทิ้งกระดูก โปรดเก็บเอาไว้ให้ฉันด้วย”
แม่เลี้ยงกินเนื้อปูแล้วก็เอากระดองทิ้งใต้ถุน อินุจึงแอบเข้าไปเก็บมารวมไว้ในโกศ และไปเก็บจากที่อื่น ๆ มารวมไว้ด้วยกัน เมื่อได้ครบแล้วก็เอาไปฝังไว้ใกล้ ๆ พระเจดีย์ตามที่ปูได้สั่งไว้
ไม่นานเท่าไรนัก ตรงที่ได้ฝังโกศกระดูกปูนั้นก็มีต้นไทรทองขึ้นมาต้นหนึ่ง และพระเจ้าแผ่นดินได้ทรงทราบ จึงมีรับสั่งให้เสนาบดีนำทหารไปขุด แต่แม้ว่าทหารจะพยายามขุดถอนอย่างไร ๆ ก็ไม่สามารถจะขยับเขยื้อนต้นไทรทองออกมาได้ พระเจ้าแผ่นดินจึงมีรับสั่งให้ไปตีฆ้องร้องป่าวประกาศว่า
“ใครก็ตามที่สามารถขุดต้นไทรขึ้นมาได้จะได้รางวัล และถ้าเป็นผู้หญิงพระเจ้าแผ่นดินจะทรงสถาปนาให้เป็นพระมเหสี”
เมื่ออินุ ได้ฟังประกาศเช่นนั้นจึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน เพื่อขอรับอาสาและเมื่ออินุไปถึงต้นไทร หล่อนก็ใช้นิ้วเพียงสองนิ้วเท่านั้น ก็สามารถถอนต้นไทรขึ้นมาได้ อินุจึงนำต้นไทรเข้าไปเมืองหลวง และได้นำไปปลูกไว้ที่หน้าพระราชวัง ส่วนอินุได้รับสถาปนาขึ้นเป็นพระมเหสี
วันหนึ่ง แม่เลี้ยงของอินุได้ให้คนมาส่งข่าวหลอกลวงว่าบิดาของอินุป่วย ดังนั้นอินุจึงแต่งกายไปที่บ้านของแม่เลี้ยง เมื่อไปถึงแม่เลี้ยงก็ออกมารับหน้าและพูดว่า
“อย่าเพิ่งเข้าไปข้างในเลย แม่เกรงว่าพ่อจะถูกผีงำ ไปอาบน้ำเสียก่อนเถิด”
อินุเชื่อ และขณะที่กำลังอาบน้ำอยู่นั้นเอง แม่เลี้ยงก็ขโมยเอาเสื้อผ้าไปและผลักอินุตกลงไปในบ่อถึงแก่ความตาย และได้กลายเป็นนกแก้ว
แม่เลี้ยงเมื่อกำจัดอินุได้แล้ว ก็เอาเสื้อผ้าและเครื่องประดับของอินุมาตบแต่งให้อิเนาลูกของตน แล้วส่งกลับเข้าไปในวัง เมื่อพระเจ้าแผ่นดินทอดพระเนตรเห็นเข้าก็ทรงทัก
“ทำไม่ผมของเธอจึงหงิกงอเช่นนั้น”
“บิดาของหม่อมฉันตาย หม่อมฉันจึงร้องไห้และทึ้งผมของหม่อมฉัน จึงทำให้ผมหงิกงอ”
“แล้วทำไม่ตาของเธอจึงโปนอย่างนั้นล่ะ”
“หม่อมฉันร้องไห้เมื่อบิดาตายและได้ขยี้ตามากไป จึงทำให้ตาบวมโปนออกมา”
“แล้วนิ้วของเธอทำไมจึงได้หงิกงออย่างนั้นด้วย”
“หม่อมฉันร้องไห้และบิดมือไปมาจึงทำให้นิ้วงอ”
“เอ แล้วทำไม่ขาของเธอจึงโก่งอย่างนั้นล่ะ”
“หม่อมฉันฟาดแข้งฟากขาด้วยความเสียใจ ขาเลยเสีย”
พระเจ้าแผ่นดินทรงเชื่ออย่างง่ายดาย ด้วยเหตุนี้อิเนาจึงได้ตำแหน่งแทนอินุ และอินุได้กลายเป็นนกแก้วก็บินมาเกาะที่ต้นไทรทุก ๆ วัน และพูดว่า
“ผู้หญิงที่ปราศจากความละอายคนหนึ่งได้นอนอยู่ในอ้อมกอดของพระเจ้าแผ่นดิน และลูกน้อยของฉันก็นอนอยู่แทบเท้าของหญิงไร้ยางอายคนนั้น”
พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังนกแก้วพูด ก็ตรัสสั่งให้มหาดเล็กจับนกแก้วมาเลี้ยง วันหนึ่งขณะที่พระเจ้าแผ่นดินเสด็จประพาสนอกพระราชวัง อิเนาก็ฆ่านกแก้ว แล้วแกงกับน้ำเต้า เมื่อพระเจ้าแผ่นดินเสด็จกลับมาไม่เห็นนกแก้ว จึงตรัสถามอิเนาว่านกแก้วเป็นอะไรไป อิเนาก็ทูลว่า
“แมวฆ่านกแก้วเสียแล้ว และหม่อมฉันได้แกงกับน้ำเต้า”
เมื่อทูลเช่นนั้นแล้ว อิเนาก็นำอาหารที่เตรียมไว้มาถวายพระเจ้าแผ่นดิน แต่พระองค์ไม่ยอมเสวยได้เททิ้งไป และตรงที่เทอาหารนั้นเองได้มีต้นน้ำเต้าขึ้นมาต้นหนึ่ง และมีผลเพียงผลเดียว พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงเก็บไว้ในหีบ และในไม่ช้าไม่นานก็มีหญิงสาวออกมาจากน้ำเต้า และหล่อนคืออินุนั่นเอง หล่อนได้ทูลเรื่องราวที่เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนต้นให้ทรงทราบ เมื่อพระองค์ทรงทราบเรื่องเช่นนี้แล้ว จึงตรัสสั่งให้ประหารอิเนาแล้วทำเป็นแบบปลาจ่อม ศีรษะของอิเนาเอาวางไว้ก้นไห ขาวางไว้ตรงกลาง ส่วนแขนและมือวางไว้ตอนบน เมื่อแม่ของอิเนามาเยี่ยมลูกสาวที่พระราชวัง พระเจ้าแผ่นดินก็ได้ประทาน “ปลาจ่อม” ไปให้ พอไปถึงบ้านนางก็สั่งให้ลูกสาวคนเล็กเอาไปปรุงเป็นอาหาร ลูกสาวแลเห็นเข้าก็พูดว่า
“แม่จ๋าแม่ นี่เหมือนกับมือของพี่เนาจัง”
“แกรู้ได้อย่างไรกัน ลูกสาวของข้าเป็นพระมเหสี และนี่เป็นปลาจ่อมที่พระเจ้าแผ่นดินพระราชทานให้มา”
แม่ของอิเนาได้เข้าไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินอีก และพระองค์ก็ได้พระราชทาน “ปลาจ่อม” ท่อนขามาให้ เมื่อลูกสาวคนเล็กได้แลเห็นเข้าก็พูดขึ้นว่า
“แม่จ๋าแม่ นี่เหมือนกับขาของพี่เนาจังเลย”
“นังนี่จะบ้าเสียแล้ว ลูกของข้าเป็นถึงพระราชินี และนั่นเป็นขาของสัตว์อะไรก็ได้”
ต่อมาอีก แม่ของอิเนาก็เข้าไปในพระราชวัง พระเจ้าแผ่นดินก็พระราชทาน “ปลาจ่อม” ท่อนหัวไปให้ เมื่อนางให้ลูกสาวปรุงเป็นอาหาร ลูกสาวก็พูดขึ้นอีกว่า
“แม่จ๋าแม่ นี่เหมือนกับหัวของพี่เนาจังเลย”
แม่ของอิเนามองดูก็จำได้ว่าเป็นศีรษะของลูกสาว นางจึงเข้าไปในวังเพื่อต่อว่าพระเจ้าแผ่นดิน แต่เมื่อเข้าไปในถึงพระเจ้าแผ่นดินก็ทำตะไกรหนีบหมากหล่นลงบนพื้น พลางตรัสบอกหล่อนว่า
“ช่วยหยิบตะไกรส่งให้ฉันทีเถอะแล้วเราค่อยพูดตกลงกัน”
แม่ของอิเนาก้มลงเก็บตะไกร พระเจ้าแผ่นดินได้โอกาสก็เอาน้ำร้อนมาราดรดหล่อน พอถูกน้ำร้อนเข้าก็ร้องด้วยความเจ็บปวด พระเจ้าแผ่นดินจึงตรัสว่า
“จงกลับไปบ้าน ปูเสื่อเอาเกลือโปรยแล้วก็นอนกลิ้งบนเสื่อนั้น แล้วจะหายปวดเอง”
แม่ของอิเนาวิ่งกลับมาบ้านพลางร้องว่า
“ลูกของแม่ ปูเสื่อเอาเกลือโปรยที ปูเสื่อเอาเกลือโปรยให้ที”
ลูกสาวคนเล็กแลเห็นแม่วิ่งกลับมาอย่างรีบร้อน หล่อนก็ออกมายืนที่นอกชานบ้าน พลางเต้นแล้วร้องว่า
“พี่ของฉันเป็นพระมเหสีเอิงเงย ฉันก็จะแต่งตัวแบบชาววังเอิงเงย”
หล่อนเต้นและร้องเพลงพลางวิ่งไปเอาเสื่อมาปู แล้วเอาเกลือโปรยลงบนเสื่อ พอแม่ของหล่อนมาถึงก็ล้มตัวลงนอนกลิ้งเกลือกบนเสื่อ และขาดใจตายบนเสื่อนั่นเอง
นิทานที่มีเค้าโครงคล้ายเรื่องนิทานปลาบู่ทองของไทย ตามที่เล่ามาเพียง ๔ ชาตินี้ จะเห็นว่าเค้าโครงส่วนใหญ่คล้ายกัน ต้นเรื่องและลงท้ายต่างกันไปบ้างสุดแต่ว่าชาติไหนจะให้หนักเบาอย่างไร แต่สรุปได้ว่าเป็นเรื่องกฎแห่งกรรมทั้งสิ้น อนึ่ง นิทานเรื่องแม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยงนี้ในนิทานของอินเดียบางเรื่องบางตอนก็คล้ายกับบางตอนในนิทานปลาบู่ทองเหมือนกัน
Leave a Reply