ซุ่นจื้อกับทฤษฎีว่าด้วยธรรมชาติของมนุษย์

Socail Like & Share

ซุ่นจื๊อ ปฏิเสธในเรื่องอำนาจของพระเจ้าที่อยู่เหนือมนุษย์ แต่ย้ำความสำคัญเรื่องมนุษย์สามารถควบคุมธรรมชาติได้ ในเรื่องของธรรมชาติของมนุษย์นั้น เขาปฏิเสธเรื่องความสำคัญขององค์ประกอบทางด้านพันธุกรรม แต่ย้ำความสำคัญเรื่องการศึกษาอบรมที่แสวงหาได้มาในตอนหลัง คำอธิบายในเรื่องธรรมชาติของมนุษย์นั้น มีแสดงไว้ในข้อความที่ยกมาดังต่อไปนี้

ธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์ ตามที่สวรรค์ประทานมาให้นั้น เป็นสิ่งที่ไม่สามารถปลูกฝังอบรม หรือสร้างสรรค์ขึ้นมาได้….แต่สิ่งที่มนุษย์สามารถปลูกฝัง เรียนรู้ หรือสร้างสรรค์ขึ้นมาได้นั้น เป็นสิ่งที่ได้มาจากการฝึกฝนอบรมทั้งสิ้น

เพราะฉะนั้น ธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์ ตามที่สวรรค์ประทานให้นั้น ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะเลือกเอาได้ แต่เป็นสิ่งที่มนุษย์ได้มาตามธรรมชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และมนุษย์ไม่มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเลย แต่การฝึกฝนอบรมที่มนุษย์ได้มาทีหลังนั้นเป็นผลงานที่เกิดจากความตั้งใจของมนุษย์ ซึ่งมนุษย์สามารถปรับวิธีการของตนให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของตนได้ ซุ่นจื๊อได้ขยายความหมายเรื่องต่อไปดังนี้

ขอให้เราพิจารณาดูธรรมชาติของมนุษย์ การที่ตาสามารถมองเห็นได้ หูสามารถฟังได้ยินนั้น เป็นธรรมชาติของมนุษย์ สิ่งที่เรามองเห็นได้นั้นขึ้นอยู่กับสายตา สิ่งที่สามารถได้ยินนั้นขึ้นอยู่กับประสาทหู เพราะฉะนั้น สิ่งที่ตามองเห็น และสิ่งที่หูได้ยินนั้น จึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจศึกษาเอาได้

นอกจากนี้ ซุ่นจื๊อ กล่าวว่า

ธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์นั้น คือ วัสดุดั้งเดิมที่ยังไม่ได้รับการตกแต่งสิ่งที่เป็นการฝึกฝนอบรมได้มามีหลังนั้นคือความรู้ และความประณีตที่เป็นผลของวัฒนธรรม ถ้าปราศจากธรรมชาติอันดั้งเดิมแล้ว ก็คงจะไม่มีอะไรที่จะเสริมด้วยการฝึกฝนอบรมที่ได้มาในตอนหลังได้ แต่ถ้าปราศจากการฝึกฝนอบรมที่ได้มาในตอนหลังแล้ว โดยลำพังธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์แล้ว ก็เป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์อันใดเลย

ด้วยเหตุนี้ ธรรมชาติของมนุษย์นั้น คือ คุณลักษณะของมนุษย์ที่ได้มาแต่กำเนิด อันเป็นสิ่งที่สามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้

ตามทรรศนะของซุ่นจื๊อ สภาพทางจิตใจของมนุษย์ที่มีอยู่สองชนิด คือ สภาพแบบง่ายเรียบ กับสภาพแบบซับซ้อน สภาพทางจิตใจแบบเรียบง่ายประกอบด้วยสิ่งที่ตามองเห็นและหูฟังได้ยินเสียง สภาพทางจิตใจแบบนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์ สภาพทางจิตใจอีกประการหนึ่งของมนุษย์นั้น เป็นเรื่องสลับซับซ้อน และเกี่ยวกับการเลือกสรรของมนุษย์อันเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการฝึกฝนอบรมที่มนุษย์ได้มาในตอนหลัง เนื่องจากสภาพจิตใจที่เรียบง่ายอาจประกอบกันเป็นสภาพจิตใจที่สลับซับซ้อนได้ ด้วยเหตุผลอันนี้ซุ่นจื๊อจึงมีความเห็นโต้แย้งว่า ธรรมชาติของมนุษย์ตามที่สวรรค์ประทานมาให้นั้น สามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ โดยอาศัยผลของสิ่งแวดล้อมและประสบการณ์ ทั้งนี้ เพื่อสร้างบุคลิกภาพของมนุษย์ให้ประณีตสวยงามขึ้น

เพราะฉะนั้น ขงจื๊อจึงปรับปรุงธรรมชาติอันดั้งเดิมของตน และเปิดทางให้กับการฝึกฝนอบรมที่ได้มาในตอนหลัง เมื่อมีการฝึกฝนอบรมในตอนหลังขึ้น ก็จึงมีหลักเกณฑ์เกี่ยวกับจารีตประเพณี และการยึดมั่นในศีลธรรมขึ้น เมื่อมีหลักเกณฑ์เกี่ยวกับจารีตประเพณีและการยึดมั่นในศีลธรรมขึ้นแล้ว ก็จึงมีหลักเกณฑ์ทางกฎหมายขึ้นสถาบันทางสังคมเหล่านี้เป็นสิ่งที่ท่านขงจื๊อสร้างขึ้น แต่ขงจื๊อนั้นก็ยังมีความคล้ายคลึงกับประชาชนส่วนใหญ่อยู่ คือ ธรรมชาติดั้งเดิมของท่านก็เหมือนกับของประชาชนส่วนใหญ่ ท่านแตกต่างไปจากประชาชนส่วนใหญ่ก็เฉพาะแต่การฝึกฝนอบรมที่ท่านได้มาในตอนหลังเท่านั้นเอง

ฉะนี้จะเห็นว่า ซุ่นจื๊อนั้นยอมรับในเรื่องของความแตกต่างระหว่างบุคคล ถือว่าความแตกต่างระหว่างบุคคลนั้นเป็นผลของสิ่งแวดล้อมและประสบการณ์ของแต่ละคน ซุ่นจื๊อกล่าวว่า

ถึงแม้ว่าบุคคลจะเป็นคนดีและจิตใจของเขาจะมีเหตุผลแต่เขาก็ยังจะต้องศึกษาอยู่กับครูที่ดี และสมาคมกับมิตรสหายที่ดี จากครูดี บุคคลผู้นั้นจะได้ทราบคุณธรรมนานาประการของพระเจ้าเย้า พระเจ้าซุ่น พระเจ้ายู้ และพระเจ้าถัง (ซึ่งเป็นกษัตริย์นักปราชญ์ในยุคสมัยปรัมปรา) จากมิตรสหายที่ดี บุคคลผู้นั้นจะได้เห็นการประพฤติปฏิบัติที่มีความจงรักภักดี ความซื่อสัตย์ การมีเกียรติ และความสุภาพอ่อนน้อม เขาจะไม่สำนึกในความจริงเลยว่า ในหัวใจของเขานั้น เขายึดมั่นอยู่ในมนุษยธรรมและศีลธรรม แต่ถ้าเขาสมาคมกับมิตรสหายที่เลวทราม สิ่งที่เขาได้ยินมีแต่เรื่องเลวทรามสารพันอย่าง สิ่งที่เขาได้เห็นล้วนแต่เป็นเรื่องของตัณหานานาชนิดแล้ว เขาจะไม่รู้สำนึกในความจริงเลยว่า เขานั้นกำลังทำโทษให้แก่ตัวของเขาเอง

ซุ่นจื๊อยกย่องสิ่งแวดล้อม โดยมองข้ามความสำคัญของธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์ ความดีทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่ได้มาจากสิ่งแวดล้อม เพราะฉะนั้นสิ่งแวดล้อมจึงมีความสำคัญเหนือกว่าธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ ซุ่นจื๊อจึงเป็นผู้มีทรรศตรงกันข้ามกับทรรศนะของเม่งจื๊อ กล่าวคือ เขาเห็นว่าธรรมชาติอันแท้จริงของมนุษย์นั้น ชั่วช้าเลวทราม คุณธรรมนั้นเป็นผลอันเป็นการปรุงแต่งที่ได้มาจากการฝึกฝนอบรม ความชั่วช้าเลวทรามนั้น เป็นผลที่มนุษย์มีอยู่ในธรรมชาติอันแท้จริงของตน ข้อความต่อไปนี้คือ สาระสำคัญของข้อโต้แย้งของซุ่นจื๊อ

ขอให้เรามาพิจารณาดูธรรมชาติของมนุษย์ มนุษย์มีความปรารถนาที่จะแสวงหาผลกำไรมาตั้งแต่กำเนิด เมื่อมนุษย์ดำเนินชีวิตของตนตามความปรารถนาอันนี้ มนุษย์จึงพยายามทุกวิถีทางที่จะถือเอาทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่ตนจะทำได้ โดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสมและความมีเหตุผลแต่อย่างใดเลย เมื่อมนุษย์ดำเนินตามความปรารถนาอันนี้แล้ว มนุษย์จะแสวงหาแต่ความหายนะของบุคคลอื่นโดยไม่คำนึงถึงความจงรักภักดีและความซื่อสัตย์สุจริตแต่อย่างใด มนุษย์มีความกระหายในทางตา และทางหูมาแต่กำเนิด ฉะนั้นจึงมีความปรารถนาในเรื่องดนตรีและความงาม เมื่อมนุษย์ดำเนินชีวิตตามความกระหายเหล่านี้ มนุษย์ก็มักจะแสวงหาจนเกินพอดี โดยไม่คำนึงถึงจารีตประเพณีการยึดมั่นในศีลธรรมอันดี วัฒนธรรมหรือเหตุผลแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้เมื่อมนุษย์คล้อยตามธรรมชาติของตนที่มีมาแต่กำเนิด และกระทำตามความปรารถนาของตนแล้ว มนุษย์จะทะเลา ยื้อแย่งกัน อันจะนำมาซึ่งการมีวัฒนธรรมที่ขัดแย้งกัน และการมีเหตุผลที่สับสนวุ่นวาย แล้วในที่สุดก็กลายเป็นการต่อสู้กันอย่างรุนแรง ต่อเมื่อมีกฎหมายอันเข้มงวด และอาศัยอิทธิพลของจารีตประเพณีและการยึดมั่นอยู่ในศีลธรรมอันดีเท่านั้น ที่มนุษย์จึงจะปฏิบัติตนด้วยความเหมาะสม มีเหตุผลและยอมอยู่ในระเบียบ จากเหตุผลเหล่านี้จะเห็นได้ชัดเจนว่า ธรรมชาติของมนุษย์นั้นคือความชั่วช้าสามานย์ และถ้ามนุษย์จะเป็นคนดีขึ้นได้แล้ว การเป็นคนดีนั้นก็เป็นผลของการฝึกฝนอบรมเอาทีหลังทั้งสิ้น

แต่ถึงแม้ว่ามนุษย์จะสามารถปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นได้ก็ตาม แต่ถ้ามนุษย์ถูกปล่อยให้อยู่ตามลำพังตนเองแล้ว มนุษย์ก็จะกลับคดงอไปตามสภาพดั้งเดิมของตน

ไม้คดนั้นจำเป็นต้องเอาไปอบไอน้ำและดัด จึงจะตรง
โลหะที่ทื่อ จำเป็นต้องลับและขัด จึงจะแหลมคม
ธรรมชาติอันเลวทรามของมนุษย์ ก็เช่นเดียวกัน ต้องการแก้ไขให้ตรง โดยการควบคุมบังคับของอำนาจและกฎหมาย และต้องกล่อมเกลาให้งดงามโดยการปฏิบัติตามจารีตประเพณี และการยึดมั่นในศีลธรรม

เหตุผลของซุ่นจื๊อดังกล่าวนี้ ยึดหลักของทฤษฎีว่า มนุษย์นั้นเกิดมาพร้อมกับสติปัญญา และสติปัญญานี้สามารถทำให้มนุษย์เปลี่ยนแปลงสภาพหยาบกระด้างที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ให้เป็นบุคคลผู้มีบุคลิกภาพอันงดงาม สมบูรณ์ได้โดยอาศัยการฝึกอบรม

มนุษย์ที่สัญจรไปมาตามถนนทุกคน มีความสามารถที่จะรู้และเข้าใจ เรื่องของมนุษยธรรมและการยึดมั่นอยู่ในศีลธรรม การปฏิบัติตามกฎหมาย ความซื่อตรงและ วิธีการทั้งหลายเพื่อให้เป็นไปตามหลักธรรมเหล่านี้ เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ชัดเจนมนุษย์นั้นสามารถสร้างตนให้เป็นพระเจ้ายู้ กษัตริย์นักปราชญ์ได้ทุกคน

ส่วนเม่งจื๊อนั้น กล่าวว่า บุคคลทุกคนสามารถเป็นพระเจ้าเย้า หรือพระเจ้าซุ่น (กษัตริย์นักปราชญ์) ได้ทุกคน เพราะว่าทุกคนมีความดีมาแต่กำเนิด แต่ซุ่นจื๊อ โต้แย้งว่ามนุษย์ทุกคนอาจทำตนให้เป็นกษัตริย์นักปราชญ์ได้ทุกคน เพราะต่างเป็นผู้มีสติปัญญาติดมาแต่กำเนิดเหมือนกันทุกคน สิ่งที่มนุษย์ต้องการนั้นคือ การปฏิบัติตนให้เป็นไปตามกฎของจารีตประเพณี และหลักแห่งการยึดมั่นอยู่ในศีลธรรมเท่านั้น

ที่มา:สกล  นิลวรรณ