ซิมอน โบลิวาร์(Simon bolivar)

Socail Like & Share

ซิมอน โบลิวาร์ เป็นอัจฉริยบุรุษที่ได้กอบกู้อิสรภาพให้แก่ดินแดน 1 ใน 3 ของทวีปอเมริกาใต้ ให้กำเนิดประเทศต่างๆ ถึง 6 ประเทศ คือ เวเนซุเอลา โคลัมเบีย เอกวาดอร์ เปรู โบลิเวีย และชิลี ประเทศโบลิเวียจะได้นามตามชื่อของเขาเอง บุคคลที่สร้างอิสรภาพให้ประเทศต่างๆ ได้ถึง 6 ประเทศนี้ เป็นบุคคลที่น่าศึกษาในเรื่องกุศโลบายสร้างความยิ่งใหญ่เป็นอย่างยิ่ง

ในทวีปอเมริกาสมัยเมื่อ 170 ปีมาแล้ว ชาติเล็กๆ ได้พยายามกอบกู้อิสรภาพของตนเพื่อให้พ้นจากอำนาจของสเปน ทำให้สเปนต้องสูญเสียจักรภพ เสียความเป็นมหาอำนาจ เกี่ยวกับข้าหลวงและข้าราชการของสเปนที่ไปประจำอยู่ในเมืองต่างๆ ของทวีปอเมริกา มีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับการขวนขวายแสวงหาประโยชน์ส่วนตัว กอบโกยความร่ำรวยด้วยวิธีกดขี่ข่มเหงราษฎรแม้จะเป็นชาวสเปนด้วยกันก็ตาม ทำให้ไม่ยินดีที่จะเป็นชาวสเปนต่อไป ความคิดที่จะแยกออกเป็นอิสระได้มีอยู่ทั่วไป หากถูกจับได้ก็จะต้องถูกลงโทษอย่างทารุณ

ใน พ.ศ. 2324 ได้มีความพยายามกอบกู้อิสรภาพของประเทศเปรูด้วยคนพื้นเมืองที่มีชื่อว่า ตูปัคอมรู เมื่อทางราชการสเปนจับตัวได้ ก็นำภรรยาและลูกชายของเขามาดึงลิ้นออก และให้ดูภรรยาและลูกชายของเขาถูกประหารด้วยวิธีทารุณโหดร้าย โดยเอาเชือกผูกแขนทั้งสองและขาทั้งสอง เอาปลายเชือกไปผูกกับม้า 4 ตัว คือเชือกเส้นหนึ่งก็ผู้กับม้าตัวหนึ่ง แล้วก็ขับควบให้ม้าดึงร่างให้ฉีกแยกออกจากกัน ภรรยาของเขาถูกทำก่อน และตามมาด้วยลูกชาของเขา ตูปัคอมรู ถูกบังคับให้ดูภาพที่แสนทุเรศนี้ แล้วเขาเองก็ต้องถูกทำเช่นนี้ด้วย

อิสรภาพของชาติหรือของหมู่ชนย่อมมีค่าสูงกว่าชีวิตของแต่ละคน การเสียสละชีวิตเพื่ออิสรภาพเป็นสิ่งที่มีเกียรติและสมควร การลงโทษทารุณโหดร้ายจึงไม่สามารถที่จะห้ามหรือป้องกันให้เลิกคิดกอบกู้อิสรภาพได้

ในเรื่องนี้มักมีผู้เสียสละกันมาก ในทวีปอเมริกาประเทศน้อยใหญ่ก็ได้กำเนิดขึ้นด้วยการเสียสละนี้

ประเทศทั้งหลายในโลกสมัยใหม่ เช่น สเปน เป็นประเทศที่มีโอกาสมากในการที่จะเป็นเจ้าโลก และเป็นมหาอำนาจสูงสุด โดยอาศัยนักตรวจค้นของตนเองบ้าง จากชนชาติอื่นบ้าง เพื่อหาเขตแดนแผ่นดินให้กว้างขวาง ในทวีปอเมริกาตอนกลางและตอนใต้เกือบทั้งหมดเกือบจะเป็นโลกใหม่ทั้งโลก และอำนาจของสเปนยังขยายออกมาทางตะวันออก ได้หมู่เกาะฟิลิปปินส์ทั้งหมู่ ผู้คนที่เข้าไปอยู่ในที่นี้ก็เป็นชาวสเปนทั้งนั้น ภาษาพื้นเมืองก็เป็นภาษาสเปน แม้ในหมู่เกาะฟิลิปปินส์ภาษาสเปนก็แทบจะกลายเป็นภาษาพื้นเมือง ซึ่งหาชนชาติที่ยิ่งใหญ่และครองโลกได้เหมือนสเปนยากเหลือเกิน

แต่เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ แต่เป็นความจริงว่า ในเวลานี้ สเปนได้ตกไปเป็นประเทศที่ 3 หรือที่ 4 มีความสำคัญเพียงเล็กน้อย เขตแดนแผ่นดินเหล่านั้นได้หลุดมือไป หมดความยิ่งใหญ่เป็นมหาอำนาจ ด้วยเพราะเหตุผลเดียวคือ พฤติการณ์ที่เราเรียกกันทั่วไปในเวลานี้ว่า “คอรัปชั่น” ทั้งบุคคลในรัฐบาล ผู้ปกครอง ตั้งแต่พระเจ้าแผ่นดินลงไปต้องการความมั่งคั่งของเงินทองเพียงอย่างเดียว การช่วงชิงตำแหน่งหน้าที่มีความมุ่งหมายที่ความมั่งคั่งเพียงอย่างเดียว ใครได้ตำแหน่งใดก็พยายามกอบโกย รีดกันเป็นทอดๆ เพื่อหาความมั่งคั่ง

พระเจ้าแผ่นดินรีดจากขุนนางข้าราชการ ข้าหลวงต่างพระองค์ที่ปกครองเขตแคว้นแดนดินและเมืองขึ้นต่างๆ สิ่งที่ถือเป็นความดีความชอบในราชการมีเพียงสิ่งเดียวคือ การหากเงินทองถวายเป็นราชพลีให้ได้มากๆ จึงทำให้พวกขุนนางข้าราชการไปรีดจากราษฎรต่อไป การคดโกง กอบโกย กดขี่ข่มเหงราษฎร ตลอดถึงการทารุณกรรมเพื่อรีดเอาเงินทอง และการแสดงหาผลประโยชน์ส่วนตัวเพื่อความมั่งคั่งของผู้ปกครองนั้น เป็นเรื่องที่ทำกันอย่างเปิดเผยปราศจากความละอาย

แม้ประชาชนจะอพยพข้ามไปอยู่โลกใหม่เพื่อหาทางทำมาหากินในทวีปอเมริกา ก็ยังถูกพวกข้าหลวงติดตามไปรีดไถในฐานะที่เป็นผู้ปกครอง โดยที่ผู้ปกครองพวกนี้ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้แก่ประชาชนเลย ไม่ได้ให้ความผาสุก ไม่ได้ช่วยเหลืองสร้างทางคมนาคม การสุขาภิบาลหรือการใดๆ ความคิดก่อการจลาจลจึงมีอยู่ทั่วไป เพราะความเกลียดชังรัฐบาล ในขณะที่โบลิวาร์ทำงานสร้างอิสรภาพของอเมริกาใต้ มีชาวสเปนแท้คนหนึ่ง ชื่อ เอลิยาส เขามีพวกพ้องมากและได้นำพรรคพวกมาเข้าร่วมด้วยเป็นทหารกองใหญ่ และเอลิยาส ก็ได้กล่าวว่า “ข้าพเจ้าต้องการจะฆ่าพวกสเปนให้หมด ฆ่าคนอื่นให้หมดก่อนแล้วฆ่าลูกเมียของข้าพเจ้า แล้วก็ฆ่าตัวข้าพเจ้าซึ่งเป็นสเปนเสียเองด้วย เพื่อจะมิให้มีเชื้อชาติสเปนเหลืออยู่ในโลกเลย เพราะเลือดสเปนเป็นเลือดที่เลวเหลือเกิน” โบลิวาร์ได้กำเนิดขึ้นด้วยสภาพการณ์อย่างนี้

ซิมอน โบลิวาร์ เกิดเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2326 ที่เมืองคารากัส เมืองหลวงของเวเนซุเอลา ซึ่งในเวลานั้นอยู่ภายใต้อำนาจของสเปน เขาเกิดในตระกูลที่สูงและมั่งคั่งตระกูลหนึ่ง แม้จะเป็นเวลา 3 ปีมาแล้ว ที่ตูปัคอมรูได้รับการทารุณกรรม ก็ยังอยู่ในความทรงจำของคนทั้งหลายมาอีกช้านาน ซิมอน โบลิวาร์ ได้ยินเรื่องนี้มาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ตอนเขาเกิดใหม่ๆ บิดาได้นำไปทำพิธีตั้งชื่อ บิดาของเขาอยากให้ชื่อว่า ซันติอาโก แต่พระบอกว่าเด็กคนนี้เมื่อโตขึ้นจะทำการใหญ่ในการช่วยมนุษย์ให้พ้นจากการเป็นทาสเหมือนอย่าง ซิมอน มัคคาบิวสะ ในพงศาวดารของยิว เขาจึงมีชื่อตัวว่า ซิมอน

เขาเป็นเด็กที่กล้าหาญ ไม่อยู่นิ่ง ชอบทำตามใจตัวโดยไม่มีอะไรเหนี่ยวรั้ง ตอนเขาอายุได้ 3 ขวบ บิดาของเขาก็ถึงแก่กรรมลง มารดาได้พาไปฝากให้ศึกษาอยู่กับพิพากษาคนหนึ่ง และผู้พิพากษาคนนั้นก็ชอบพูดว่า “เด็กคนนี้เป็นเหมือนเขาโคที่บรรจุดินปืน” ที่อาจจะระเบิดขึ้นมาเมื่อไรก็ได้

ยิ่งโตขึ้นเขาก็ยิ่งเป็นคนรูปงาม ดวงหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ท่าทางที่งามสง่า ดวงตาที่เป็นสีดำ สามารถดึงดูดให้คนทั้งหลายมานิยมชมชอบได้มาก บางคนกล่าวว่า เขาเป็นเหมือนเจ้าชายในนิยาย มารดาของเขาได้ถึงแก่กรรมลงเมื่อเขามีอายุได้ 9 ปี และได้ทิ้งทรัพย์สมบัติอันใหญ่หลวงไว้ให้ มีเหมืองแร่หลายแห่ง มีไร่อ้อยหลายร้อยเอเคอร์ โรงโม่ โรงหีบ โรงกลั่น สวนผลไม้ที่ใหญ่มหึมา สัตว์เลี้ยงและทาสหญิงจำนวนมาก ซึ่งสมบัติเหล่านี้เขาต้องแบ่งกับน้องชายคนหนึ่ง และน้องสาวอีกสองคน

แต่ซิมอน โบลิวาร์ สนใจแต่เรื่องการผจญภัย ไม่สนใจในทรัพย์สมบัติอันนี้ เขาชอบแวดล้อมอยู่ในหมู่เด็กซนๆ และบางครั้งก็ซุกซนจนเดือดร้อนถึงคนอื่น เขาได้ครูอาจารย์คนหนึ่งเป็นนักปรัชญาพเนจร ทำตัวเหมือนนักปรัชญาบางคนของกรีกในสมัยโบราณ คือ เดินทางท่องเที่ยวและมีจริยวัตรผิวคนธรรมดา หลักการสอนของท่านผู้นี้มีอยู่ว่า ร่างกายเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ดวงจิตเป็นของโง่เขลา ที่ทำประโยชน์ได้ก็คือร่างกายเท่านั้น ส่วนดวงจิตมีแต่เรื่องโง่อยู่ตลอดเวลา การบำรุงรักษาร่างกายให้มีอนามัยที่ดี การฝึกหัดกายบริหาร ทำให้ร่างกายแข็งแรง คือหน้าที่ของมนุษย์เรา เมื่อร่างกายดีดวงจิตก็จะดีเอง ไม่เหมือนกับหลักปรัชญาของผู้อื่นที่ว่าดวงจิตสำคัญกว่าร่างกาย นักปรัชญาผู้นี้ให้ความสำคัญกับร่างกาย เขาเปลือยกายไม่ใช้เครื่องนุ่งห่ม ซึ่งถือว่าเป็นพวก นูดิสต์ รุ่นแรก เขามีชื่อว่า โรดริเกซ

โบลิวาร์เองก็ชอบลัทธิและคำสอนของอาจารย์ท่านนี้ด้วย เขาปฏิบัติตามคำสอนของอาจารย์และเรียนทุกอย่างที่เป็นศิลปะแห่งการใช้กำลังและออกกำลัง เดินทางบุกป่าข้ามเขาไปกับอาจารย์ เรียนวิชาจับและฝึกม้าป่าจากพวกโคบาล หัดควบม้า จับโค ล้มโค เอาใจใส่ร่างกายมากกว่าดวงจิต ฝึกกายบริหาร สร้างความงามความแข็งแรงให้กับร่างกาย

โรดดิเกซ พอใจในความก้าวหน้าของความแข็งแรงของศิษย์ เขาสามารถอวดได้ว่ากล้ามเนื้อของศิษย์เขาเวลานี้แข็งเป็นเหล็ก เขาบอกแก่ศิษย์ของเขาว่า “เจ้าต้องการความแข็งแรงอันนี้สำหรับการต่อสู้อย่างใหญ่หลวง ที่คอยเจ้าอยู่ข้างหน้า” ในทวีปอเมริกาชาวเวเนซุเอลาและหมู่ชนทั้งหลายทางภาคใต้กำลังต้องการกอบกู้ตัวเอง ชื่อซิมอน เป็นนามของผู้กู้อิสรภาพในตำนานทางศาสนา คำสอนเหล่านี้ได้แทรกซึมและฝังรากแน่นลงในดวงจิต และเหตุการณ์ทั่วๆ ไปที่ปรากฏแก่ตาของโบลิวาร์ในเวลานั้น มีการกบฏ จลาจล การใช้กำลังอำนาจของรัฐบาลเข้าปราบปราม การประหารชีวิตและการทารุณกรรม ซึ่งพวกนักปฏิวัติ นักกอบกู้อิสรภาพต้องรับเพื่อสร้างความเป็นมนุษย์ให้แก่ตัวเอง การกอบกู้อิสรภาพในอเมริกาใต้นี้ โรดริเกซเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย และในที่สุดเขาก็ถูกเนรเทศออกจากเวเนซุเอลา

โบลิวาร์ได้อาสาเข้าอยู่ในกองทหารอาสาสมัครของรัฐบาลเมื่ออาจารย์ถูกเนรเทศไปแล้ว เมื่อมีอายุเพียง 16 ปี ก็ได้เป็นนายร้อยตรี เพราะมีความสามารถ ความแข็งแรง ประกอบกับการที่มีตระกูลเป็นคนมั่งคั่งด้วย

โบลิวาร์ได้เดินทางมาประเทศสเปน ในวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2342 เขามีวงศ์ตระกูลอยู่ที่นั่นเหมือนกัน ลุงของเขาเป็นข้าราชการในราชสำนักกรุงมาดริดที่มีอิทธิพลคนหนึ่ง เขาได้รับการต้อนรับอย่างดีเมื่อมาถึงสเปน สามารถเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินและพระราชินีได้ แต่ก็มีคำสั่งจับเขาจากทางราชการสเปนเมื่อเขาอยู่ที่นั่นได้แค่ 2-3 เดือน เพราะถูกสงสัยว่าคบคิดกับลุงของเขาเพื่อจะทำร้ายพระเจ้าแผ่นดินและพระราชินี

โบลิวาร์ได้หนีไปที่กรุงปารีส มีพวกพ้องชักนำให้เข้าสู่สังคมชั้นสูงของกรุงปารีส จนได้เข้าเฝ้านะโปเลียน เขาได้รับความนิยมชมชอบทั่วไป โดยเฉพาะในหมู่สตรีชั้นสูง เพราะมีรูปงาม เมื่อเขาได้ข่าวว่ารัฐบาลสเปนถอนคำสั่งจับแล้วก็กลับมายังสเปนอีก เมื่อเขาอายุได้ 19 ปี ก็ได้แต่งงานกับหญิงชาวสเปนคนหนึ่งและกลับไปทวีปอเมริกา ใช้ชีวิตสมรสอย่างเงียบและผาสุกในที่ดินของเขาแห่งหนึ่ง

แต่อยู่ได้ไม่นานภรรยาของเขาก็จากไปเพราะป่วยไข้อย่างปัจจุบันทันด่วน เมื่อภรรยาถึงแก่กรรมลง เขาก็คิดว่าเวลาแห่งความเป็นเด็ก เวลารื่นเริงสนุกสนานได้สิ้นสุดลงแล้ว ต่อไปนี้เขาจะต้องทำงาน และได้เดินทางกลับสเปน เข้าเรียนกฎหมายและมั่วสุมอยู่ในหมู่นักศึกษาชาวอเมริกาใต้ที่อยู่ในสเปน มีการตั้งเป็นสมาคมขึ้นและโบลิวาร์ก็ได้เป็นหัวหน้า โบลิวาร์ได้รับความนิยมนับถือเพราะมีความแข็งแรงในร่างกาย มีความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญในดวงจิต มีรูปร่างที่เป็นผู้ดีมีตระกูล ประกอบกับมีความมั่งคั่ง มีญาติพี่น้องสูงศักดิ์อยู่ในสเปนด้วย พวกพ้องของเขามีมากขึ้นทุกที จนทราบถึงรัฐบาลสเปน เขาจึงถูกเนรเทศให้ออกไปอีก

เขาได้ไปกรุงปารีสเหมือนอย่างเคย และเช่นเดียวกับครั้งก่อนที่สังคมชั้นสูงให้การต้อนรับเขาเป็นอย่างดี เขาสามารถเข้าถึงคนใหญ่คนโตอย่าง ตาเลรังด์ รัฐมนตรีว่าการของนะโปเลียน นายพลดุรอค จอมพลอุดิโนต์ มาดาเรอ กามิเอด มาดาสตาล ที่กำลังรุ่งโรจน์ในสังคมฝรั่งเศสในเวลานั้น เขาก็เป็นคนนำสมัยในปารีส เป็นดาราในสังคม เมื่อแต่งตัวอย่างไรก็ต้องมีคนแต่งตาม เขาใช้หมวกสูงปีกกว้างอย่างสเปน คนในสังคมชั้นสูงของฝรั่งเศสก็ใช้บ้าง และเรียกหมวกนี้กันว่า หมวกโบลิวาร์

ความเป็นดาวดวงเด่นของเขาถูกสร้างขึ้นจากความมั่งคั่งทางทรัพย์สมบัติ และความสมบูรณ์ในรูปสมบัติ คนที่อยู่ในฐานะชนิดนี้ในสมัยนะโปเลียน น่าจะหลงระเริงในความสุขสนุกสนาน เพราะไม่มีความจำเป็นเลยที่เขาจะต้องไปทำงานเสี่ยงภัยให้เกิดความลำบาก เขามีโอกาสหาความรื่นรมย์ทุกอย่างให้แก่ชีวิตได้แม้ในประเทศสเปนเอง เขาสามารถจะมีตำแหน่งสูงและความมั่งคั่งจากราชสำนักสเปนเท่าใดก็ได้ ถ้าเขาได้แสดงให้เห็นว่าเลิกคิดกบฏแล้ว แต่ประเทศอิสระต่างๆ คือ เวเนซุเอลา โคลัมเบีย เอกวาดอร์ เปรู โบลิเวีย และชิลี ก็จะไม่เกิดขึ้น ถ้าเขาเป็นบุคคลชนิดนั้น

แต่โบลิวาร์ไม่ได้หลงอยู่กับความมั่งคั่ง สังคม และความเป็นดาวดวงเด่น ที่แวดล้อมด้วยสตรีเพศและกามารมณ์ บรรดาคนใหญ่โตในกรุงปารีสมีอยู่คนเดียวที่เขาสนใจอย่างยิ่ง มีชื่อว่า อเล็กซานเดอร์ ฟอน ฮุมบอลด์ เป็นชาวเยอรมัน ศึกษาค้นคว้าทางธรรมชาติวิทยา และเพิ่งกลับมาจากการค้นคว้าที่อเมริกาใต้ โบลิวาร์ได้ถามเขาว่า ชนชาติต่างๆ ในอเมริกาใต้พร้อมที่จะเป็นอิสระหรือยัง เขาก็ตอบว่า ประชาชนพร้อมแล้ว แต่ยังขาดผู้นำ โบลิวาร์คิดว่าบางทีเขาอาจจะเป็นผู้นำได้

ต่อมา โรดริเกซ อาจารย์ของเขาที่ถูกเนรเทศ ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกในปารีส และยังไม่เปลี่ยนความคิดหรือหลักการของเขา ในเรื่องที่ว่า “ร่างกายเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ดวงจิตเป็นของโง่เขลา” ความคิดไม่มีประโยชน์อะไร การจะสร้างความสำเร็จได้ต้องลงมือทำเท่านั้น หลักการอันนี้ได้สอนให้โบลิวาร์เป็นคนแปลกประหลาดด้วยเช่นกัน เขาได้ถามอาจารย์ว่า คนอย่างเขาจะเป็นผู้นำกอบกู้อิสรภาพได้หรือไม่ เขาก็ได้รับคำตอบจากอาจารย์ว่า นอกจากเขาแล้วก็ยังมองไม่เห็นใคร

โบลิวาร์รู้ว่า มีความจำเป็นที่เขาจะต้องรู้กิจการบ้านเมืองบ้าง หากคิดทำงานใหญ่ที่เกี่ยวกับบ้านเมืองเช่นนี้ จึงต้องศึกษาหาความรู้พอสมควร เขาได้ศึกษาจากหนังสือตำราที่อาจารย์ของเขาหามาให้ ซึ่งเป็นหนังสือที่แต่งโดยนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงทางวิชาการเมือง เช่น เพลโต วอลแตร์ รุสโซ มองเตสคิเออ เฮลเวติยส ฮอมส์ฮูม สปินโนซา

ในระหว่างที่โบลิวาร์ได้ศึกษาหาความรู้อยู่นั้น อาจารย์ของเขาก็ไม่ยอมทิ้งหลักการที่ตนสอน แม้โบลิวาร์จะมั่งมีและดำเนินชีวิตได้อย่างสุขสบาย แต่อาจาย์ก็ไม่ยอมให้ทำเช่นนั้น เขาบังคับให้โบลิวาร์อยู่ในบ้านที่ไม่งดงามโอ่โถง ไม่ให้นอนบนที่นอนนุ่มๆ รับประทานอาหารที่สร้างความแข็งแรงให้กับร่างกาย เรียนวิชาฟันดาบจากครูที่ดีที่สุด จนมีฝีมือเชิงดาบที่สามารถต่อสู้กับคนเก่งๆ ได้ โบลิวาร์และอาจารย์เดินทางด้วยเท้าท่องเที่ยวไปทางทิศใต้ของยุโรป เดินข้ามภูเขาแอลป์ ไปอิตาลี เมืองมิลาน เวนิช เนเปิล จนไปถึงกรุงโรม ได้เข้าเฝ้าสังฆราชกรุงโรม แต่ไม่ยอมให้โบลิวาร์ก้มกราบจูบรองพระบาทสังฆราชกรุงโรมเหมือนคนอื่นๆ

โบลิวาร์ได้สาบานต่ออาจารย์ที่กรุงโรมนี้ว่า จะทำงานกู้อิสรภาพดินแดนของตนให้ได้ จะไม่วางมือจนกว่าจะขับไล่อำนาจสเปนออกไปได้

เมื่อเขาอายุได้ 23 ปี ในปี พ.ศ. 2349 ก็ได้เดินทางกลับอเมริกา เมื่อถึงดินแดนที่เป็นมาตุภูมิของเขาก็ได้พบว่า มีผู้พยายามทำงานอย่างเสียสละเพื่อกอบกู้อิสรภาพอยู่แล้ว เขาได้พบกับชาวเมืองเวเนซุเอลาคนหนึ่ง ชื่อ มิรันดา เคยเป็นผู้อาสารบในสงครามกู้อิสรภาพของสหรัฐอเมริกา เคยอาสารบสมัยปฏิวัติในฝรั่งเศส เคยอยู่ในกองทัพของนะโปเลียน มีความกล้าหาญและฝีมือที่ดีเด่นจนได้ยศนายพล ซึ่งการเป็นนายพลในกองทัพนะโปเลียนไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อรู้เช่นนี้ โบลิวาร์จึงคิดว่าการจะมาเป็นผู้นำนั้นไม่มีความจำเป็นแล้ว เพราะมิรันดา มีดีกว่าเขาทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิ สามารถเป็นหัวหน้าที่ดีได้ เขาจึงสมัครเข้าอยู่กับมิรันดาทันที

แต่ก็เป็นแค่การเตรียมการ ยังไม่มีการลงมือทำอะไร วิธีเดียวที่จะกอบกู้อิสรภาพคือ ต้องใช้กำลังสู้รบ การเตรียมกำลังรบก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้ที่เข้ามาสมัครเป็นทหารจะต้องยอมเสี่ยงภัย และเสียสละอย่างแท้จริง การประชุมคนในที่รัฐบาลจะจับตัวไม่ได้ง่ายๆ ต้องถูกยึดที่ดิน ไร่นา ทรัพย์สมบัติ สัตว์เลี้ยง ถ้าทิ้งบุตรภรรยาไว้ก็จะเป็นอันตราย แต่มิรันดาก็ยังรวมกำลังคนได้เป็นอันมากในเวลาต่อมา และในวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2354 ก็ได้ประกาศอิสรภาพของเวเนซุเอลา ที่เมืองคารากัส

ต้องใช้กำลังทหารเข้าโจมตีรัฐบาลหลังจากประกาศอิสรภาพแล้ว แต่ก็ต้องหมดหวังเพราะทหารไม่มีแม้แต่รองเท้าจะใช้ เรื่องเครื่องแบบไม่ต้องพูดถึง การรบแบบสงครามก็ไม่เคยรบ บางคนยิงปืนก็ยังไม่เป็น ทำไมไม่ฝึกทหารให้ดีก่อนประกาศอิสรภาพ แต่ผู้ที่รู้จักงานปฏิวัติรัฐประหาร หรือการกู้อิสรภาพ รู้ดีว่าไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ ต้องประกาศออกมาก่อนแล้วจึงค่อยเริ่มฝึกทหาร เพราะคนที่สมัครเข้ามาล้วนใจร้อนต้องการเห็นอิสรภาพแม้แต่ในนามอย่างทันใจ ถ้ามัวฝึกอยู่ก็จะกลับใจกันไปเสียหมด

ในการฝึกทหาร โบลิวาร์ได้เป็นกำลังสำคัญของมิรันดา มิรันดาแต่งตั้งยศให้เขาเป็นพันเอก แต่กองทหารที่แท้จริงยังไม่เกิดขึ้นแม้เขาจะใช้ความพยายามสักเพียงใด อาหารก็กินมื้อขาดมื้อ เงินเดือนบางเดือนก็ไม่ได้จ่ายให้กับทหาร ถึงเป็นเช่นนี้ก็ยังรบชนะกองทัพรัฐบาลได้ถึงสองครั้ง และอาจจะเป็นผลสำเร็จถ้าพวกเดียวกันเองไม่หักหลังทรยศเสียก่อน ทำให้ต้องพ่ายแพ้ มิรันดาถูกจับไปขังที่เมืองคาดิช และตายด้วยโรคหัวใจ ส่วนโบลิวาร์หนีไปได้

โบลิวาร์ลอบกลับมาในเมืองคารากัสใหม่ เพื่อคิดแผนการกอบกู้อิสรภาพต่อไป โดยซ่อนตัวอยู่ในกระท่อมของเพื่อนที่เป็นชาวอินเดียนแดงคนหนึ่ง

แต่รัฐบาลก็รู้ว่า โบลิวร์เป็นคนสำคัญในการกู้อิสรภาพของมิรันดาในครั้งนั้น ทรัพย์สินของโบลิวาร์ถูกริบไปจนหมด กองทัพของเขากระจัดกระจายกันไป ในเวเนซุเอลามีคนเสียชีวิตสองหมื่นคนภายหลังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ แต่ต่อมาเขาก็ต้องถูกจับไปขังไว้ที่เกาะคุราเซา และได้หนีมาอยู่ที่กรานาดาเมืองขึ้นของสเปน

โบลิวาร์ไม่เคยรู้จักกรานาดา ไม่มีความรู้เกี่ยวกับภูมิประเทศ และไม่มีใครรู้จักโบลิวาร์ ด้วยเสน่ห์ในตัวเขาจึงทำให้หาเพื่อนได้รวดเร็ว เขาได้ประกาศอิสรภาพของกรานาดาด้วยวิธีแบบเดียวกับมิรันดา ขณะนั้นกำลังก็ยังมีเพียงแค่สองร้อยคน ยังไม่มีความพร้อม และได้ยกเข้าล้อมป้อมเตเนริฟเฟของสเปน ให้ทหารซุ่มอยู่ตามก้อนหินและต้นไม้ แยกย้ายกันกันอยู่เหมือนมีกำลังมากมาย ได้ส่งคำสั่งไปยังผู้บัญชาการป้อมว่าถ้าไม่ยอมแพ้จะยิงด้วยปืนใหญ่ให้พังพินาศ ซึ่งความจริงเขาไม่มีปืนใหญ่แม้แต่กระบอกเดียว ผู้บัญชาป้อมจึงพากันออกจากป้อม เมื่อโบลิวาร์ยึดป้อมได้แล้วก็เขายึดตัวเมืองโดยไม่เสียชีวิตทหารเลยแม้แต่คนเดียว

จากเมืองเตเนริฟเฟ เขาได้เคลื่อนกำลังเข้าล้อมป้อมมอมป๊อกซ์ และยึดได้อีกป้อมหนึ่งโดยไม่ต้องมีการต่อสู้เลย ความสำเร็จนี้ทำให้คนเริ่มเห็นเขาเป็นพระเจ้า มีคนมาเข้าด้วยกับเขามากมาย เขาต้องรบอย่างหนักถึง 6 ครั้ง กับการเผชิญหน้ากับกองทหารกองใหญ่ๆ ของรัฐบาล แต่ก็ได้ชัยชนะ เขาเคลื่อนกำลังสู่เมืองเวเนซุเอลาซึ่งเป็นทางที่ลำบากและล่อแหลมมาก นายทหารคนหนึ่งบอกเขาว่า “คราวนี้เป็นการเหลือกำลังมนุษย์”

โบลิวาร์ก็ตอบว่า “ถ้าเช่นนั้นเราก็ต้องใช้กำลังให้เกินกว่ากำลังมนุษย์”

ที่ทหารพูดเช่นนั้นก็เพราะการเคลื่อนกำลังครั้งนี้ได้ทำในฤดูหนาวจัด ทหารของโบลิวาร์เป็นคนเมืองร้อน ไม่เคยเห็นหิมะ ไม่เคยต่อสู้ความหนาวที่เป็นศัตรูร้ายแรงยิ่งกว่ามนุษย์ ในการเดินทางก็ต้องข้ามภูเขา เดินเลาะริมปากเหว มีทางเดินแคบๆ เมื่อหิมะตกทางก็ลื่น มีคนหรือสัตว์ตกเหวอยู่ทุกวัน แต่โบลิวาร์ก็ได้ทำตัวเป็นผู้นำอย่างแท้จริง เขาเดินนำหน้าบ้าง รั้งหลังบ้าง ขึ้นหน้าไปก่อนแล้วคอยดูทหารที่เดินผ่านไปด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ด้วยคำพูดที่ปลอบใจ ด้วยการแสดงตัวว่าเขาเองก็ลำบากและเสี่ยงภัยไม่น้อยกว่าผู้อื่น จากทหารที่มีอยู่ 500 คนเศษ ตกเหวตายไปสุดท้ายก็เหลืออยู่ไม่ถึง 500 คน

เมื่อพ้นภูเขาก็เดินทางไปเมืองคารากัส ทหารทั้งหลายมองเห็นชัดว่า โบลิวาร์คิดถูก ที่นำพลเข้าเมืองคารากัสในทางนี้และเข้าในฤดูหนาวจัด รัฐบาลสเปนไม่ได้เตรียมการป้องกันไว้เลย เพราะไม่คิดว่าจะมีใครนำกองทัพเข้ามาทางนี้

แต่โบลิวาร์ไม่ได้คิดเช่นนั้น เขาคิดว่าการรบกับธรรมชาติบางครั้งง่ายกว่ารบกับมนุษย์เสียอีก เขาถือว่า ควายากลำบากในการข้ามภูเขานั้นคือการรบ ถ้าข้ามได้ก็แปลว่าชนะ งานกู้อิสรภาพของเขาในเมืองนี้กับมิรันดาได้ให้ผลดีแก่เขา เพราะคนเมืองนี้ต้องผู้นำในการกอบกู้อิสรภาพอยู่แล้ว เขาได้ทหารอาสาสมัครมากมาย มีนายทหารเก่าคนหนึ่งชื่อ เอลิยาส ได้นำกองทหารอย่างดีเข้ามาด้วยทั้งกอง เมื่อใกล้เมืองคารากัสก็มีการรบกันอย่างหนัก แต่กำลังของเขาก็มีมากพอในการรบตะลุมบอนเกือบทุกครั้ง เขาควบม้าออกหน้า และใช้วิชาดาบที่ฝึกฝนมาอย่างดีเขาตีเมืองคารากัสได้ การกู้อิสรภาพในเวเนซุเอลาจึงเป็นผลสำเร็จ

ในปี พ.ศ. 2356 โบลิวาร์มีอายุได้ 30 ปี และหาได้ยากมากที่คนอายุ 30 ปี จะกระทำการได้สำเร็จเช่นนี้

แล้วเขาก็ประสบผลสำเร็จเรื่อยๆ มาอีก 11 ปี โบลิวาร์ได้ปลดเปลืองอเมริกาใต้จากอำนาจของสเปน และกลายเป็นประเทศต่างๆ ในปัจจุบันถึง 6 ประเทศ คือ
1. เวเนซุเอลา มีเนื้อที่ประมาณ 353,000 ตารางไมล์
2. โคลัมเบีย มีเนื้อที่ประมาณ 439,000 ตารางไมล์
3. เอกวาดอร มีเนื้อที่ประมาณ 28,000 ตารางไมล์
4. เปรู มีเนื้อที่ประมาณ 482,000 ตารางไมล์
5. โบลิเวีย มีเนื้อที่ประมาณ 419,000 ตารางไมล์
6. ชิลี มีเนื้อที่ประมาณ 297,000 ตารางไมล์

รวมทั้ง 6 ประเทศ มีเนื้อที่ประมาณ 1,992,000 ตารางไมล์ ซึ่งใหญ่กว่าประเทศเราถึง 9 เท่า นับว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่สำหรับคนคนหนึ่งที่ทำได้อย่างนี้ มีประเทศหนึ่งที่ได้นามตามชื่อของโบลิวาร์ คือประเทศโบลิเวีย

แต่ดินแดนที่โบลิวาร์กอบกู้อิสรภาพได้ต้องแตกแยกกันเพราะเหตุใด แล้วทำไมไม่รวมเข้าเป็นประเทศเดียวกัน เหตุผลก็คือ โบลิวาร์สามารถเอาชนะศัตรูได้ แต่ไม่สามารถที่จะเอาชนะมิตรของตัวได้ มีสุภาษิตทางการเมืองอยู่ข้อหนึ่งว่า “เป็นการยากที่จะชนะสงครามและสันติภาพในเวลาเดียวกัน บางครั้งเราชนะสงคราม แต่เสียสันติภาพ (It is difficult to win the war and the peace at the same time, Sometimes we win the war and lose the peace)” เหตุการณ์ของโลกทั้งในอดีตและปัจจุบันก็ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความจริงอยู่เป็นอันมาก หลายๆ ประเทศร่วมมือกันทำการต่อสู้ศัตรูจนได้ชัยชนะ แต่ประเทศที่ชนะกลับมาแตกกันเสียเองในภายหลัง เป็นศัตรูร้ายแรงแก่กันยิ่งกว่าเดิม เคยร่วมกันต่อสู้ศัตรูจากภายนอก เมื่อศัตรูพ่ายแพ้แล้วภายในก็แตกมาเป็นศัตรูกัน ประทุษร้ายกัน กลายเป็นสงครามกลางเมือง ทำความเดือดร้อนเสียหายมากกว่าเดิม เคยร่วมกันปราบศัตรูลงไปได้ แต่ต้องกลับมาประหัตประหารกันเอง

เมื่อทำงานสำเร็จแล้ว พวกมิตรที่เคยร่วมมือกันมาก็ไม่ยอมรับว่าความสำเร็จมาจากโบลิวาร์ ไม่ยอมให้โบลิวาร์เป็นใหญ่แต่ผู้เดียว เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นเผด็จการ ต้องการให้คนอื่นที่เป็นชั้นหัวหน้ามีอำนาจอย่างนั้นบ้างจึงเกิดความแตกแยกขึ้น พวกนี้ไม่ยอมให้โบลิวาร์ดำรงตำแหน่งจอมทัพ การแก่งแย่งมีมากขึ้นจนถึงขึ้นจลาจลเป็นสงครามกลางเมืองในเวเนซุเอลา การยกพวกสู้กันในสนามหลวง ทหารลุกขึ้นทำร้ายผู้บังคับบัญชา มีการหลบหนีจากกรมกองเป็นจำนวนมาก ซึ่งเรื่องเหล่านี้มีขึ้นไม่หยุดหย่อน

โบลิวาร์ได้พยายามสร้างความสามัคคี และความสงบเรียบร้อยในทุกสถานที่ เขาทำทุกวิถีทางเพื่อให้เกิดผลสำเร็จ ด้วยการยกยอ การชี้แจงเหตุผล การปลุกปลอบ การให้บำเหน็จรางวัล ให้คำมั่นสัญญา การขอร้องให้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม และอื่นๆ แต่ก็ไม่ได้ผล เขาต้องหันไปใช้วิธีรุนแรงคือการฆ่า เขาสั่งจับคนที่เคยเป็นมิตรมาประหารจำนวนมาก ในวันหนึ่งเขาต้องสั่งประหารคนถึง 500 คน ยิ่งลงโทษ ยิ่งรุนแรง ยิ่งฆ่าคนก็ยิ่งมีศัตรูมากขึ้น กลายเป็นเรื่องที่ไม่มีทางสิ้นสุด

เรื่องแตกแยก เรื่องมีศัตรู เรื่องต้องใช้วิธีการทั้งละม่อมและรุนแรง ได้มีมาตั้งแต่เริ่มประกาศอิสรภาพเวเนซุเอลาแล้ว นอกจากวิธีนี้โบลิวาร์ยังพยายามทำความดีขยายอาณาเขตอิสระของตนออกไปเรื่อยๆ ทำการสู้รบกับสเปนโดยหวังว่าการต่อสู้กับศัตรูภายนอกจะระงับศัตรูภายในได้ แต่การสู้รบไปเรื่อยๆ นี้ก็ได้ปรากฏมนุษย์แปลกๆ ขึ้นมา พวกที่รบเก่งได้ชัยชนะแล้วก็เป็นบ้า ทำให้ใจร้าย มีคนหนึ่งชื่อ ซัวโยรา ชอบตัดใบหูคนที่ถูกฆ่าตายมาประดับไว้ที่หมวกของตน ส่วนอีกคนหนึ่งชื่อ อันโตนันซาส ชอบตัวมือตัดจมูกคนใส่หีบส่งไปเป็นของกำนัลแก่เพื่อนๆ

คนเก่งที่กลายเป็นบ้านี้ ต้องการความยิ่งใหญ่เท่าเทียมกับโบลิวาร์ เป็นศัตรูกับโบลิวาร์ จนโบลิวาร์ต้องสังหารคนเหล่านี้ แล้วพวกเขาก็ป่าวประกาศไปทั่วว่า โบลิวาร์ประทุษร้ายต่อมิตร ฆ่าคนที่เคยช่วยเหลือกันมา มีคนคอยติดตามทำร้ายโบลิวาร์อยู่ตลอดเวลา ไม่มีความผาสุก เขาพยายามทำตนให้สงบเสงี่ยม ไม่ดำเนินชีวิตเป็นหรูหรา ไม่ทำตัวเป็นคนใหญ่โต สมบัติที่เคยโดนริบไปก็ไม่ได้เอาคืน ปล่อยให้คนอื่นเข้าเป็นเจ้าของ และเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นไป อยู่แบบคนชั้นกลาง มีคนใช้เท่าที่จำเป็น เมื่อจะไปที่ไหนหากคนใช้ต้องติดตามไปด้วย ก็ไม่มีคนเฝ้าบ้าน ทำอะไรแบบไม่ต้องมีพิธีรีตอง ไม่ถือยศศักดิ์ ประพฤติกับเพื่อนฝูงแบบเสมอต้นเสมอปลาย เพื่อเป็นการระงับความอิจฉาริษยาปองร้าย แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะระงับได้

วันหนึ่งมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งมาหา แต่โบลิวาร์ไม่อยู่ ก็ทำตัวถือวิสาสะอย่างเพื่อนสนิท นอนบนเปลแขวนที่โบลิวาร์เคยนอน และเขาก็ถูกแทงตาย คนก็คิดว่าเป็นฝีมือของโบลิวาร์ และนี่ก็เป็นแค่เรื่องหนึ่งที่โดนปองร้ายเท่านั้น

ในสภาพการณ์เช่นนี้ ดินแดนที่โบลิวาร์เคยกอบกู้ไว้ได้ ก็ถูกแบ่งออกเป็น 6 ประเทศ เพราะหลายคนอยากเป็นใหญ่ จึงสร้างความแตกแยกขึ้น ดินแดนที่ควรจะรวมกันเป็นประเทศเดียวและมีความมั่นคงแข็งแรงได้แตกออกเป็นประเทศใหญ่บ้างเล็กบ้าง เมื่อแยกไปแล้วก็ใช่ว่าจะสงบเรียบร้อย ยังคงมีการเข่นฆ่ากันเอง มีการจลาจลเรื่อยมา บางครั้งประเทศหนึ่งใน 1 สัปดาห์ ต้องมีประธานาธิบดีถึง 3 คน เพราะ 2 คนต้องถูกฆ่าตายภายในสัปดาห์เดียวกัน โบลิวาร์ได้พยายามตั้งสภาเกี่ยวโยงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเหล่านี้ ซึ่งเรียกว่า Pan-American Congress โดยมุ่งหวังว่าแม้จะไม่รวมเป็นประเทศเดียวกัน แต่ก็ขอให้พยายามเกี่ยวโยงเป็นพวกเดียวกัน เพื่อความแข็งแรงเป็นปึกแผ่น แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ

พ.ศ. 2369 โบลิวาร์มีอายุได้ 43 ปีแล้ว ร่างกายของเขาก็เสื่อมลง โรคภัยไข้เจ็บเข้ามาครอบงำ เขามองผลที่เขาสร้างขึ้นมาด้วยความเศร้าสลดมากกว่าความภาคภูมิใจ เขาจึงคิดได้ว่า การชนะมิตรนั้นยากกว่าการชนะศัตรูหลายเท่า สุดท้ายเขาต้องกลายเป็นคนที่ไม่มีแผ่นดินจะอยู่ พวกมิตรที่ต้องการเป็นใหญ่เป็นโตได้แบ่งแย่งกันขึ้นครองอำนาจจนหมด

เพื่อนที่มีอำนาจบางคนได้ร้องขอให้รัฐบาลจ่ายบำนาญแก่โบลิวาร์ปีละ 3 หมื่นเปโซ ซึ่งมากพอที่จะดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายและผาสุก และไม่ต้องมายุ่งกับพวกเขาอีก แต่โบลิวาร์ก็ไม่รับบำนาญนี้ สมบัติที่ถูกริบไปก็ไม่ได้เอาคืนปล่อยให้เป็นประโยชน์ของคนอื่นไป เขากลายเป็นคนยากจนไม่มีอะไรติดตัว และต้องเที่ยวเร่ร่อนพเนจรหาแผ่นดินอยู่ไม่ได้เมื่อมีอายุเพียง 45 ปีเท่านั้น

เขามีเพื่อนเหลืออยู่ 4 คน ที่ติดตามเขาไปโดยไม่ละทิ้ง คนหนึ่งเป็นนานทหารชื่อ ซูเคส เคยรบคู่มือกับเขามา คนที่สองชื่อ โอเลียรี เป็นชาวไอริช เป็นนายทหารประจำตัวของเขาเช่นกัน คนที่สามเป็นสตรีชื่อ มันซุเอลา คนที่สี่ คืออาจารย์โรดริเกซ ที่ติดตามลูกศิษย์โดยไม่ทอดทิ้งและยังคงสอนอยู่เสมอว่า “ร่างกายเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ดวงจิตเป็นของโง่เขลา” กำลังแขน กำลังดาบ กำลังกายของโบลิวาร์ ได้สร้างอิสรภาพให้แก่ดินแดนอันกว้างใหญ่ แต่ดวงจิตที่โง่เขลาของพวกที่แย่งชิงกันเป็นใหญ่ ทำให้เกิดความยุ่งยากไม่มีสิ้นสุด

สตรีที่ชื่อ มันซุเอลา เป็นสตรีที่สวย มีเชื้อสายสเปน มีสามีเป็นคนอังกฤษ แต่ชอบโบลิวาร์ ได้ทิ้งสามีมาอยู่เป็นภรรยาลับของโบลิวาร์ โดยที่ยังไม่ได้หย่าขาดจากสามี และไม่ได้แต่งงานใหม่กับโบลิวาร์ โบลิวาร์ต้องปล่อยให้อยู่ด้วยเฉยๆ เมื่อสามีมาตามกลับไป สตรีผู้นั้นก็ตอบว่า เป็นเมียลับของโบลิวาร์ ดีกว่าเป็นเมียจริงของมนุษย์ใดๆ ในโลกทั้งสิ้น เธอจึงสมัครเป็นเมียลับของโบลิวาร์ตลอดเวลาและเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเขา ยอมรับความลำบากทุกแห่ง อยู่ด้วยกันจนถึงวาระสุดท้าย สำหรับสตรีสเปนถือว่าความพึงพอใจเป็นสิ่งสำคัญกว่าสิ่งใดทั้งสิ้น

ในพ.ศ. 2373 โบลิวาร์มีอายุได้ 47 ปี เขาต้องตกอยู่ในสภาพของคนที่ไม่มีแผ่นดินอยู่ ทั้งที่เป็นวันที่ดีที่สุด ทั้งสติและปัญญา เราลงเรือลำหนึ่งไปโดยไม่มีจุดหมายปลายทางว่าจะไปที่ไหน บอกคนเป็นนายเรือเพียงว่า เขาต้องการไปให้พ้นความยุ่งยาก ความริษยา ความเกลียดชัง ความปรารถนาของเขาเป็นผลสำเร็จ เขาป่วยในเรือ นายเรือจะนำเรือไปให้ถึงจาไมก้าแต่ไม่สามารถไปถึงได้ และแวะที่สันตามารตาที่ฝั่งโคลัมเบีย แต่ไม่มีทางให้การรักษาใดๆ เขาอยู่ได้ 2-3 วันก็ถึงแก่ความตาย และศพของเขาก็ถูกขุดหลุมฝังไว้ที่ริมฝั่งนั้นโดยไม่มีพิธีรีตอง หรือได้รับเกียรติอย่างใดเลย

ร่างกายของโบลิวาร์ถูกหมกดินอยู่ริมฝั่งทะเล อีก 12 ปี ประเทศทั้งหลายที่เขากอบกู้อิสรภาพไว้จึงนึกขึ้นมาได้ และส่งเรือรบเป็นขบวนมารับเอาศพไปทำพิธีฝังที่เมืองคารากัส เมืองหลวงของเวเนซุเอลา ซึ่งเป็นที่เกิดของโบลิวาร์

ในเรื่องความยิ่งใหญ่ ประวัติของซิมอน โบลิวาร์ ก็ได้ให้คำอธิบายแก่เราได้อีกประการหนึ่ง หากอยากประสบกับความยิ่งใหญ่ เราต้องตัดสินใจว่าจะเลือกยิ่งใหญ่ทางไหน ต้องการความยิ่งใหญ่ที่เป็นประโยชน์กับมนุษย์ทั่วไปเป็นอิสรภาพซึ่งมนุษย์ต้องการหนักหนา เราก็ต้องยอมรับผลร้ายแก่ตัวเอง เช่นที่โบลิวาร์ได้รับ คำว่า “ทำดีได้ดี” นั้น ย่อมสุดแล้วแต่เราจะแปลไปในทางใด เวลานี้ซิมอน โบลิวาร์ได้รับความนับถือทั่วไป ว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ชั้น 1 ของโลก เป็นคนสำคัญยิ่งคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ และดูเหมือนจะไม่มีใครในทวีปอเมริกาใต้ที่ไม่ให้ความสำคัญและระลึกถึงบุญคุณของซิมอน โบลิวาร์ แต่เขาก็ไม่ได้เห็นผลดีนี้ในชีวิตของเขา

โบลิวาร์ เกิดมาในความมั่งคั่ง มีพร้อมทุกอย่างที่จะแสวงหาความผาสุกในชีวิต แม้ในทางราชการงานเมืองเขาก็อาจจะประสบความยิ่งใหญ่ได้อย่างง่ายๆ ตั้งแต่มาสเปนครั้งแรกเขาอาจจะแสดงความจงรักภักดีต่อพระเจ้าแผ่นดินสเปน และได้ตำแหน่งฐานันดรอันดี ถ้าไม่ฝักใฝ่งานกอบกู้อิสรภาพ ประทุษร้ายอำนาจของสเปน เขาก็อาจจะประสบความยิ่งใหญ่ได้อีกทางหนึ่ง อาจได้เป็นข้าหลวงใหญ่ แล้วทำการกดขี่คนในเมือง สร้างความเป็นมหาเศรษฐีและความสูงศักดิ์ให้แก่ตัวเอง ซึ่งก็ยิ่งใหญ่เช่นกัน และเป็นความยิ่งใหญ่ที่สามารถสร้างได้ง่ายๆ

หรือเขาอาจจะไปสร้างความยิ่งใหญ่ทางสังคมในปารีส เขาเป็นที่ชอบพอของคนใหญ่โตในราชสำนักปารีส อาจเป็นโอกาสให้เขาสร้างความยิ่งใหญ่ในทางนั้นได้ง่ายๆ เหมือนกัน ถ้าเขาสมัครเข้าเป็นทหารในกองทัพนะโปเลียนจากการสนับสนุนของคนใหญ่คนโตที่เขารู้จัก ก็มีหวังที่จะขึ้นถึงขั้นนายพลของนะโปเลียน ซึ่งไม่ใช่ความยิ่งใหญ่ที่เล็กน้อย จะทำให้เขาสุขสบาย ไม่ต้องรับเคราะห์กรรมด้วยความยากลำบาก ต้องร่อนเร่พเนจรจนตลอดชีวิต

แต่เขาเลือกเอาความยิ่งใหญ่ที่ตัวเองจะไม่ได้ผลประโยชน์ เขาได้รับผลร้ายจากการทำความดีจนไม่มีแผ่นดินอยู่ ซึ่งเป็นตัวอย่างให้เห็นว่า งานปฏิวัติหรือกอบกู้อิสรภาพให้แก่ประเทศหรือมนุษยชาตินั้น เป็นงานที่ทำคนเดียวไม่ได้ ต้องอาศัยการร่วมมือกันหลายฝ่าย เมื่อทำเสร็จแล้ว ทุกคนก็ต้องคิดว่าตัวมีส่วนสำคัญ ต้องเสียสละ จึงเกิดความสำเร็จได้ เหตุใดความเป็นใหญ่ต้องตกที่คนคนเดียว เช่น โบลิวาร์ ทำไมตัวเขาไม่ได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่บ้าง ในสภาพการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าโบลิวาร์จะทำความดีเพียงใดก็ตาม ก็ย่อมเกิดความริษยาเกลียดชังขึ้น

เรื่องของโบลิวาร์ให้คติสอนใจเราว่า ในงานสร้างความยิ่งใหญ่ทางการเมืองนั้น การเอาชนะแก่ศัตรู แม้จะยากลำบากเพียงใด ก็ยังไม่ลำบากเท่ากับการเอาชนะมิตร เป็นความเข้าใจผิดอย่างหนึ่งของผู้ที่เสี่ยงภัยเล่นการเมือง คือ คิดว่าถ้าปราบศัตรูได้แล้วก็เป็นชัยชนะ แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะทันที่ที่ปราบศัตรูลงได้ พวกมิตรนั่นแหละที่จะกลับมาเป็นศัตรู การชนะแก่มิตรนั้นยากกว่าการเอาชนะศัตรูเป็นอย่างมาก ความยิ่งใหญ่ของนักการเมืองไม่ใช่อยู่ที่การปราบศัตรู แต่อยู่ที่จะต้องคุมมิตรไว้ให้อยู่ ถ้าควบคุมไม่ได้แล้วก็จะเกิดผลร้ายอย่างยิ่ง และเป็นผลร้ายที่หาทางแก้ไม่ได้ง่ายๆ การฆ่าศัตรูจะไม่มีใครว่าอะไร แต่การฆ่ามิตรจะก่อให้เกิดผลสะท้อนที่ร้ายแรง อย่างในประวัติของโบลิวาร์

ดังนั้น การสร้างความยิ่งใหญ่ที่ได้จากการศึกษาประวัติของโบลิวาร์นี้ คือ เราต้องระมัดระวังเรื่องมิตรไม่ให้น้อยไปกว่าศัตรู การสร้างความยิ่งใหญ่ทางการเมือง ไม่ว่าจะสร้างด้วยกำลัง หรือสร้างตามวิถีแห่งรัฐธรรมนูญ จำเป็นต้องมีพรรคพวกสำหรับต่อสู้ศัตรู แต่ต้องจำไว้ว่า การต่อสู้ศัตรูที่เป็นปัญหาเฉพาะหน้านั้น ไม่ร้ายเท่าปัญหาเรื่องมิตรที่จะต้องประสบภายหลัง การจะเอาชนะศัตรูได้หรือไม่นั้นไม่สำคัญเท่ากับปัญหาว่าจะสามารถคุมมิตรไว้ได้หรือไม่หลังได้ชัยชนะแล้ว จำเป็นต้องพิจารณาปัญหาทั้งสองข้อนี้ไปพร้อมๆ กัน ปัญหาศัตรูเป็นปัญหาชั่วคราว แต่ปัญหาเรื่องมิตรเป็นปัญหาที่ต้องเผชิญไปตลอดกาล

จะเห็นได้ว่า งานกอบกู้อิสรภาพของโบลิวาร์หรือคนอื่นๆ ที่ทำสำเร็จจนสามารถกวาดล้างอำนาจของสเปนออกไปได้นั้น ก็เพราะเหตุอันเดียวคือ เรื่องคอรัปชั่น การสร้างความยิ่งใหญ่ของสเปนก็เกี่ยวกับการคอรัปชั่นเช่นกัน เป็นการใช้อกุศโลบาย ยิ่งผู้ที่เข้าใจว่าความมั่งคั่งจะสร้างความยิ่งใหญ่ และสร้างด้วยการคดโกงกอบโกย ไม่เคยประสบผลยั่งยืน การสร้างความยิ่งใหญ่ด้วยการคดโกงกอบโกย จะเป็นความยิ่งใหญ่ที่ปราศจากรากฐาน เหมือนสิ่งที่ก่อสร้างมหึมาที่สร้างขึ้นโดยปราศจากโครงรากที่แน่นหนา เมื่อถูกความกดดันเล็กน้อยก็ล้มราบไป ตัวอย่างที่โบลิวาร์ทำได้อย่างง่ายๆ ที่เพียงแต่เข้าล้อมป้อมแล้วร้องบอกให้ยอมแพ้ ก็ยอมกันเพราะเขาพวกนั้นไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะต้องสละเลือดเนื้อและชีวิต เขาไม่ได้ต้องการอะไรนอกเหนือไปจากความมั่งคั่ง เขาอยากมีชีวิตอยู่เพื่อจะได้รับผลของความมั่งคั่งต่อไป เรื่องของสเปนเป็นตัวอย่างชัดว่า คอรัปชั่น ได้ทำลายอนาคตของชาติไปเพียงใด อีก 150 ปีเศษก็ยังแก้ให้ฟื้นขึ้นมาไม่ได้ ไม่มีโรคใดจะร้ายแรงสำหรับประเทศเท่ากับโรค “คอรัปชั่น”

ความรู้อีกอย่างที่ได้คือ การสร้างความยิ่งใหญ่ในทางกอบกู้อิสรภาพก็ดี ในทางปฏิวัติก็ดี ผู้ทำต้องมีความเสี่ยงจริงๆ ไม่สามารถจะรออะไรให้พร้อมเพรียงจนแน่ใจก่อน เพราะถ้าเตรียมมากจะรักษาความลับไม่ได้ งานพวกนี้ต้องเสี่ยงตายเอาดาบหน้าทั้งสิ้น มิรันดาและโบลิวาร์ก็ได้ใช้วิธีเดียวกัน คือ แม้จะยังไม่มีความพร้อม แต่ต้องประกาศโครมครามออกมาก่อน ทำกันด้วยจำนวนคนที่เล็กน้อย แล้วค่อยหามาเพิ่มภายหลัง เหตุผลการกระทำจึงสำคัญมากในเรื่องชนิดนี้ เพราะถ้าเหตุผลดีจูงใจคนได้ คนก็เข้าด้วย ถ้าพลาดพลั้งก็เป็นความตาย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่เสี่ยงอย่างแท้จริง

ที่มา:พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ