ฉัพพรรณรังสี

Socail Like & Share

จะกล่าวถึงสิ่งที่ไม่มีจิตแต่ดูเสมือนมีจิตใจพากันสักการบูชาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทำพระปาฏิหาริย์ด้วยฤทธิ์ ซึ่งชื่อว่า อิทธิวิธีญาณ ด้วยพระหฤทัยซึ่งเกิดขึ้นเอง โดยไม่มีสิ่งชักชวน พร้อมด้วยฉัพพรรณรังสีความยินดี ประกอบด้วยปัญญา ทรงแผ่พระมหาฉัพพรรณรังสี คือ พระรัศมีที่ยิ่งใหญ่ทั้ง ๖ ไปทั่วสกลจักรวาล ประกอบด้วย

พระรัศมีสีเขียวซึ่งงามเหมือนดอกอัญชัน ดอกบัวเขียว ดอกผักตบ แววนกยูง และปีกแมลงภู่ พระรัศมีสีเหลือง ซึ่งงามเหมือนดอกกรรณิการ์ หรดาล ทองชมพูนุท พระรัศมีสีแดง ซึ่งเหมือนนํ้าครั่งและชาติหิงคุ งามเหมือนดอกชบา และดอกทับทิม พระรัศมีสีขาว ซึ่งงามเหมือนดอกพุดและสังข์ พระรัศมีสีแสด ซึ่งงามเหมือนดอกอังกาบ ดอกชบาเทศ ดอกเทียนไทย และดอกทองฟ้า(ทองกวาว) ออกแสงเป็นเงาเหมือนทองแดงที่ขัดถูดีแล้ว พระรัศมีสีเลื่อมพรายสุกใสและเหลือง ซึ่งงามเหมือนดาวประกายพรึกและแก้วผลึกที่ส่งแสงรุ่งเรืองฉวัดเฉวียนเวียนรอบ

พระรัศมีทั้ง ๖ ที่แผ่ซ่านออกจากพระวรกายสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นงามต่างๆ กัน พระรัศมีสีเขียว งามเหมือนดอกอัญชัน ดอกผักตบ ดอกบัวเขียว แววนกยูง และปีกแมลงภู่นั้น แผ่ซ่านออกจากพระเกศาและพระโลมาทุกเส้นทั่วพระวรกาย

พระรัศมีสีเหลืองงามเหมือนดอกกรรณิการ์ หรดาล และทองชมพูนุทนั้น แผ่ซ่านออกจากพระปฤษฎางค์ของพระพุทธเจ้า พระรัศมีสีขาว งามบริสุทธิ์เหมือนสังข์นั้น แผ่ซ่านออกจากพระเนตรขาว และพระทนต์ของพระพุทธองค์ พระรัศมีสีแสด งามเหมือนดอกอังกาบ ดอกชบาเทศ ดอกเทียนไทย และดอกทองฟ้า ที่ออกแสงเหมือนทองแดงที่ขัดเงาแล้วนั้น แผ่ซ่านออกจากแพนข้อพระหัตถ์และเล็บ พระบาทของพระพุทธเจ้า พระรัศมีสีเลื่อมประภัสสร งามเหมือนดาวประกายพรึก และแก้วผลึกนั้น แผ่ซ่านออกจากพระอุณาโลมคือพระขนแก้ว ณ พระพักตร์ พระพุทธเจ้า

พระรัศมีทั้ง ๖ ดังพรรณนามานี้ที่เขียวก็ยิ่งเขียวงามยิ่งขึ้น ที่ขาวก็ขาว งามยิ่งขึ้น ที่เหลืองก็ยิ่งเหลืองงามยิ่งขึ้น ที่แดงก็ยิ่งแดงงามยิ่งขึ้น ที่แสดก็ยิ่งแสดงามยิ่งขึ้น ที่เลื่อมประภัสสรก็ยิ่งเลื่อมงามรุ่งเรืองเหมือนดาวประกายพรึก แผ่ซ่านออกจากพระวรกายของพระพุทธเจ้าแล้วกลับฉวัดเฉวียนวนเวียนไปมา ไมซีดไม่มัว เลย พระรัศมีบางกลุ่มก็โก่ง บางกลุ่มก็เรียงรายส่ายไปมา บางกลุ่มก็หนา บางกลุ่มก็บาง บางกลุ่มก็ห้อยย้อยไหลไป บางกลุ่มหยุดอยู่ บางกลุ่มเป็นกลุ่มก้อน บางกลุ่มเป็นแสงล้อม บางกลุ่มโค้งลงดิน บางกลุ่มพุ่งขึ้นไปในอากาศ บางกลุ่มพุ่งไปข้างหน้า บางกลุ่มพุ่งไปข้างหลัง ประดังกันออกมา

พระรัศมีสีเขียวนำไปก่อน ติดตามด้วยพระรัศมีสีเหลือง แดง ขาว แดงอ่อน และสีเลื่อมพรายงามเหมือนดาวประกายพรึกตามลำดับ

บรรดาพระรัศมีทั้ง ๖ นั้น พระรัศมีสีเหลืองดูเหมือนจะรู้จักพูดต่อว่า พระรัศมีสีเขียวว่า “แน่ะ ท่านรัศมีสีเขียวท่านจงหยุดประเดี๋ยวก่อน เราขอถามท่านว่า เพราะอะไร ท่านจึงไปก่อนเรา ท่านได้สร้างบุญกุศลสมภารไว้อย่างไร”

พระรัศมีสีเขียวนั้นทำเป็นเหมือนเหลียวกลับมาดูแล้วตอบว่า “เรานี้มีบุญ เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าของเรายังเป็นพระบรมโพธิสัตว์ทรงพระนามว่าพระเจ้าสีพีราช ได้ทรงควักพระเนตรออกให้เป็นทานแก่พระอินทร์ซึ่งจำแลงเพศเป็นพราหมณ์มาขอ ด้วยเดชะพระกุศลสมภารบารมีดังกล่าวมานี้ เราจึงได้เกิดเป็นพระรัศมีสีเขียวนำหน้าพวกท่านไปก่อน”

ฝ่ายพระรัศมีสีแดงใสเรืองรุ่งพุ่งออกไป เห็นพระรัศมีสีเหลืองล่วงหน้า ไปก่อน ดูเหมือนจะรู้จักพูดต่อว่าพระรัศมีสีเหลืองว่า “แน่ะ ท่านรัศมีสีเหลือง เพราะเหตุไรท่านจึงไปก่อนเรา ท่านได้สร้างบุญกุศลสมภารบารมีไว้อย่างไร บ้าง”

พระรัศมีสีเหลืองทำเป็นเหมือนจะรู้จัก เหลียวกลับมาดูแล้วตอบว่า “เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าของเรายังทรงสร้างสมพระโพธิสมภารบารมีเสวยพระชาติเป็นวิริยบัณฑิต ได้ทรงเชือดเนื้อออกให้พระอินทร์ซึ่งจำแลงเพศเป็นช่างทองตีแผ่เป็นแผ่นทองปิดพระพุทธรูปด้วยใจเลื่อมใสศรัทธาและยินดีปรีดาเป็นยิ่งนัก เพราะบุญกุศลสมภารบารมีนี้ เราจึงได้มาเกิดเป็นพระรัศมีสีเหลืองเหมือนทอง งามรุ่งเรืองนำหน้าท่านไปก่อน”

ฝ่ายพระรัศมีสีขาวเห็นพระรัศมีสีแดงล่วงหน้าไปก่อน ดูเหมือนจะรู้จัก พูดต่อว่าพระรัศมีสีแดงว่า “แน่ะ ท่านรัศมีสีแดง เหตุไฉนท่านจึงไปก่อนเรา ท่านได้สร้างบุญกุศลสมภารบารมีไว้อย่างไร”

พระรัศมีสีแดงทำเป็นเหมือนจะเหลียวกลับมาตอบพระรัศมีสีขาวให้รู้แจ้งชัดว่า “เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าของเรานี้ยังทรงสร้างโพธิสมภารบารมีอยู่ ได้เสวยพระชาติเป็นนรชีวมาณพ อีกเรื่องหนึ่งเป็นปทุมกุมาร เอามีดผ่าอกยกหัวใจให้ปรุงยาแก่มารดาของตนซึ่งถูกงูกัดตายไปแล้วให้กลับฟื้นขึ้นมา ด้วยเดชะบุญกุศล สมภารบารมีดังกล่าวมานี้ เราจึงได้เกิดเป็นพระรัศมีสีแดงนำหน้าท่านไปก่อน”

ฝ่ายพระรัศมีสีแสดเหมือนสีเท้าหงส์(สีแดงปนเลือด,สีแดงเรื่อ) เห็นพระรัศมีสีขาวล่วงหน้าไปก่อน ดูเหมือนจะรู้จักถามและพูดต่อว่าพระรัศมีสีขาวว่า “แน่ะ ท่านรัศมีสีขาว เหตุไฉนท่านจึงไปก่อนเรา ท่านได้สร้างบุญกุศลสมภารบารมีไว้อย่างไร”

พระรัศมีสีขาวทำเป็นเหมือนจะรู้จักเหลียวกลับมาตอบว่า “เมื่อครั้งที่ พระพุทธเจ้าของเรานี้ยังทรงสร้างโพธิสมภารบารมีอยู่ ได้เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดรบรมกษัตริย์ ทรงมีศรัทธาพระราชทานช้างเผือกปัจจัยนาคให้เป็นทานแก่พราหมณ์ชาวเมืองกลิงคราษฎร์ ด้วยอำนาจบุญกุศลสมภารบารมีดังกล่าวมานี้ เราจึงได้เกิดเป็นพระรัศมีสีขาวนำหน้าท่านไปก่อน”

ฝ่ายพระรัศมีสีใสเหมือนดาวประกายพรึกและแก้วผลึก เห็นพระรัศมีสี แสดเหมือนสีเท้าหงส์ล่วงหน้าไปก่อน ดูเหมือนจะรู้จักถามและพูดต่อว่าพระรัศมีสีแสดนั้นว่า “แน่ะ ท่านรัศมีสีแสดเหมือนสีเท้าหงส์ เหตุไฉนท่านจึงไปก่อนเรา ท่านได้สร้างบุญกุศลสมภารบารมีไว้อย่างไร”

ทันใดนั้น พระรัศมีสีแสดทำเป็นเหมือนจะรู้จักเหลียวกลับมาตอบว่า “เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้ายังทรงสร้างโพธิสมภารบารมีอยู่ ได้เสวยพระชาติเป็นวิชาธรบรมโพธิสัตว์ ทรงเชือดเนื้อให้เป็นทานแก่ผีเสื้อกินเป็นอาหาร ด้วยกุศลสมภารบารมีดังกล่าวมานี้ เราจึงได้เป็นพระรัศมีสีแสดนำหน้าท่านไปก่อน”

คราวนั้น พระรัศมีสีเลื่อมประภัสสรเหมือนดาวประกายพรึกและแก้วผลึก ได้เหาะฉวัดเฉวียนนำหน้าพระรัศมีสีแสดไป พระรัศมีสีแสดนั้นเห็นพระรัศมีสีเลื่อมประภัสสรเหมือนดาวประกายพรึกและแก้วผลึกล่วงหน้าไปก่อน ดูเหมือนจะรู้จักถามว่า “แน่ะ ท่านรัศมีสีเลื่อมประภัสสรเหมือนดาวประกายพรึกและแก้วผลึก เหตุไฉนท่านจึงไปก่อนเรา ท่านได้สร้างบุญกุศลสมภารบารมีไว้อย่างไร”

ครั้งนั้น พระรัศมีสีเลื่อมประภัสสรเหมือนดาวประกายพรึกและแก้วผลึก ดูเหมือนจะรู้จักเหลียวกลับมาตอบว่า “เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้ายังทรงสร้างโพธิสมภารบารมีอยู่ เสวยพระชาติเป็นกระต่ายชื่อว่า สสบัณฑิต ได้มีใจศรัทธา สละร่างกายให้เป็นทาน โดยทอดกายลงในไฟ ซึ่งพระอินทร์ก่อขึ้น ให้เนื้อเป็นทานแก่พราหมณ์ ด้วยเดชะบุญกุศลสมภารบารมีดังกล่าวมานี้ เราจึงได้มาเป็นพระรัศมีสีเลื่อมประภัสสรมีสีเหมือนดาวประกายพรึกและแก้วผลึกนำหน้าท่านไปก่อน”

ครั้งนั้น พระรัศมีทั้งหลายของพระพุทธเจ้า ต่างก็แข่งกันเหาะลอยไป เบื้องหน้าแล้วก็คล้อยลงเบื้องล่างถึงทั่วทุกแห่งหน ฉายไปถึงอเวจีนรก จนสุดพื้นแผ่นดินลึกถึง ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์ ลงไปอีกถึงลมที่รองนํ้าและดินไว้มิให้ไหว หนาได้ ๙๖๐,๐๐๐ โยชน์ ดั้นขึ้นไปถึงอวกาศต่อจากภายใต้เบื้องบนไกลแสนไกล พุ่งขึ้นไปโดยลำดับ พ้นจากอรูปพรหมขึ้นไปถึงลมอัชฏากาศเบื้องบน ฉายไปทั่วทั้ง ๘ ทิศ พุ่งไปถึงอนันตจักรวาลทุกด้าน เห็นสว่างไสวตลอดไปทุกช่องทุกซอก ห้วยเนินเขาในถํ้า ปล่อง เหว เงื้อมแง่ และที่มืดมิด ซึ่งแสงพระอาทิตย์และพระจันทร์ส่องเข้าไปไม่ถึง

พระฉัพพรรณรังสีของพระพุทธเจ้าสามารถส่องให้เห็นได้ทุกแห่งหน สว่างแพรวพรายไปทั่ว เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทำปาฏิหาริย์ในครั้งนั้น แผ่นดินไหวไปทั่วทั้งสิ้น ทั้งมหาสมุทรก็ตีฟองนองระลอกอยู่ฉาดฉาน ทั้งเขาพระสุเมรุก็อ่อนน้อม เอนลงเหมือนยอดหวายที่ถูกไฟลนอ่อนลง ฉะนั้น บรรดาเครื่องดนตรีซึ่งไม่มีจิตใจ ก็ดังขึ้นมาเองเหมือนมีคนมาตีและเป่าอยู่ บรรเลงเปล่งเสียงออกมาเองไพเราะนักหนา ถวายบูชาแด่พระพุทธเจ้า ทั้งหมู่อรูปพรหมก็พากันลงมานมัสการพระพุทธเจ้าด้วยประการฉะนี้

คณะทำงานโครงการวรรณกรรมอาเซียน