ค่าของมารยาทงาม

Socail Like & Share

ถ้าท่านประสงค์ที่จะเข้าใจกันได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว เพื่อน พี่น้อง เพื่อนร่วมงาน เพื่อความราบรื่นผาสุกในชีวิต ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปฏิบัติตัวให้สอดคล้องกับความประสงค์นั้น และต้องเอาใจใส่กับกิริยามารยาทประจำวันของท่านมากเป็นพิเศษ

เราไม่รู้แน่ชัดว่า ผู้ตั้งบทบัญญัติแห่งมารยาทคือใคร ตั้งแต่จำความได้ก็รู้แค่ว่า พ่อแม่สอนให้ไหว้เมื่อมีคนให้ของ เมื่อพบปะผู้ใหญ่ก็ให้กราบไหว้ เมื่อพบคนอื่นฝรั่งจะสอนลูกให้จับมือ หรือเช็คแฮนด์ และเมื่อจากกันก็ให้โบกมือลา แขกจะใช้วิธีซาลาม ญี่ปุ่นจะโค้งให้กันต่ำๆ การทักทายของชาวเอสกิโมก็ทำด้วยการยื่นหน้าเข้าไปเอาจมูกถูกัน วิธีการแสดงออกอย่างนี้เรียกว่า มารยาท เราถูกสอนให้กราบไหว้ผู้ใหญ่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าเรากลับไปยืนค้ำ ก็จะได้ชื่อว่าไม่มีความอ่อนน้อม กลายเป็นคนมารยาททรามไป

ผู้ที่พบปะกับเราจะเข้าใจว่าเราเป็นคนประเภทใดด้วยมารยาทที่เราแสดงออกมา จึงมีความจริงอยู่นำพังเพยที่ว่า “สำเนียงส่อภาษา กริยาส่อสกุล”

บ่อยครั้งที่มธุรสได้จัดงานเลี้ยงที่บ้านของเธอ เพื่อนๆ ทุกคนพอใจที่มีโอกาสได้พบปะกัน แต่ที่สังเกตมาก็อดคิดไม่ได้ว่า ทำไมมธุรสไม่เคยเชิญอัจฉรามาร่วมงานเลี้ยงเลย ทั้งๆ ที่ทั้งสองคนก็เคยไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่บ่อยๆ

มธุรสตอบเพื่อนๆ ว่า “อัจฉราน่ะอะไรก็ดีหมดแหละเธอ เสียอยู่อย่างเดียวที่ฉันทนไม่ไหวก็คือ วิธีจับช้อนส้อมของเขาเวลารับประทานอาหาร ได้กิริยามารยาทอย่างอื่นของเธอก็ดีหมด ไหว้งี้ต่ำสวย เดินเหินไม่กระด้างแข็งเป็นหัวหลักหัวตอ แต่พอถึงเวลากินข้าวละก็หมดสวยเลย ฉันจึงต้องตัดสินใจทุกหนที่จะไม่เชิญเขามา เพราะฉันรู้สึกอายแทนเขาเสียจริงๆ”

เหตุผลของเธอฟังดูแล้วมีน้อยเหลือเกิน

บุคคลที่ทนสิ่งเดียวกันนั้นไม่ได้ยังมีอีกเป็นจำนวนมาก ผู้ที่พูดมากและทำตัวเป็นสำนักงานหนังสือพิมพ์ข่าวเคลื่อนที่ บางคนก็อาจจะทนไม่ได้ หรือบางคนก็พูดมากไม่ยอมหยุด ชอบพูดขัดคอคนอื่นกลางคัน ทำให้เสียรสในการสนทนาไปหมด

เรื่องมารยาทงาม ผู้ชายบางคนอาจคิดว่า ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้หญิงเขาเถอะ ผู้ชายจะนุ่มนิ่มอ่อนช้อยคงไม่ได้ แต่มารยาทที่ทำให้ผู้ชายดูเป็นผู้ดีก็มีอยู่มากมาย ซึ่งบางครั้งก็อาจได้ยินคนพูดกันว่า “แหม! ท่าเขางามเหลือเกิน” “ท่าทางราวกับผู้ดีเก่า”

คนหนุ่มสาวที่มาแต่งงานกัน อาจจะยังไม่รู้จักกันมากพอ ก่อนแต่งงานอาจเป็นผู้ชายที่แสนจะสุภาพ แต่เมื่อมาเป็นสามีเราแล้วอาจไม่มีสิ่งนั้นเหลืออยู่เลย เวลาไปไหนมาไหนแทนที่จะเดินเคียงข้างกันเหมือนแต่ก่อนก็กลับชิงเดินขึ้นหน้าไป ข้ามถนนก็ข้ามก่อนปล่อยให้เรายืนงงงันอยู่ไม่แยแส ยิ่งนานวันเข้าความไม่ใส่ใจก็มีเพิ่มมากขึ้น เมื่อเราอดที่จะต่อว่าไปบ้างไม่ได้ หนักเข้าก็ต้องทะเลาะกัน ชีวิตคู่จึงไปไม่รอด

แต่ฝ่ายชายก็อาจคิดอยู่ในใจว่า ผู้หญิงที่เขาแต่งงานด้วยเป็นคนอ่อนหวานน่ารัก เงียบขรึม ช่างคิด แต่ทำไมตอนนี้เธอจึงกลายเป็นคนขี้บ่น จู้จี้ ชอบขุดคุ้ยเรื่องเก่าๆ มาพูด ไปไหนมาไหนก็มองใครไม่ได้ นอกจากเธอและผู้ชายด้วยกัน เธอจะคอยสังเกตอยู่เสมอและมักใช้ถ้อยคำกระทบกระแทกที่ทำให้รู้สึกเจ็บปวดทีเดียว

มีผลสะท้อนที่น่าคิดในมารยาทเฉพาะบุคคล เพราะมันอาจทำให้เราต่ำต้อยหรือรุ่งเรืองไม่แพ้การใช้วาจาเลยทีเดียว คนส่วนใหญ่อยากจะประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่ถูกต้อง แต่บางคนก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรถึงจะถูก

บิดามารดา และเด็กวัยรุ่นที่กำลังจะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ คือสุภาพชนที่จะเป็นตัวอย่างสำคัญที่สุดของเยาวชน ดังนั้นเราต้องหัวตัวเองก่อน แล้วจึงนำความรู้นี้ไปหัดให้แก่เด็กเยาวชนรุ่นหลังต่อไป

เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เมื่อผู้ใหญ่เข้ามาในห้องที่เรานั่ง เราจะยืนขึ้นหรือนั่งอยู่เหมือนเดิม? เราจะเอ่ยชื่อของผู้หญิงหรือผู้ชายก่อนเมื่อต้องการแนะนำเขาให้คนรู้จัก แล้วต้องพูดอย่างไรต่อไป? เมื่อไรที่ควรทิ้งช้อนชาไว้ในถ้วย? เมื่อรวบช้อนส้อมแล้ว เราควรช่วยเขายก หรือยังคงนั่งอยู่? เราจะจัดการกับผ้าเช็ดมืออย่างไร? วิธีใดที่จะบริโภคหรือดื่มอาหารบางอย่างได้ถูกต้อง? เมื่อเรากำช้อนส้อมเหมือนเตรียมพร้อมจะออกฟันดาบ และถูกคนข้างๆ หัวเราะเยาะในใจ จะแก้ไขอย่างไร มีอะไรผิด ถูก ดีชั่ว สมควรหรือไม่ เพราะเหตุใด?

สุภาพชนจึงควรเรียนรู้เกี่ยวกับมารยาท เพื่อนำไปปฏิบัติ แล้วเราจะรู้ว่าไม่ใช่ของยาก ผลสะท้อนที่ได้รับกลับมาก็จะมีค่าอย่างล้นพ้น

ที่มา:จากหนังสือมรรยาทงาม ของ ผกาวดี อุตตโมทย์