คานธีกับการช่วยสงครามอังกฤษ

Socail Like & Share

คานธี

อินเดียช่วยสงคราม
เมื่อสงครามโลกแรกเกิด อังกฤษมินึกฝันเลยว่าเยอรมันมีแสนยานุภาพพอที่จะทำให้อังกฤษตกอยู่ในฐานะคับแค้นได้ แต่ว่าภายหลังเมื่อเหตุการณ์ได้ปรากฎขึ้นเช่นนั้นจริงอังกฤารู้สึกหน้ามืด มิรู้ว่าจะหาทางช่วยเหลือได้จากไหนในการทูต การเจรจา รัฐบาลเคยได้สมรรถภาพมาแล้วหลายครั้ง ฉะนั้นอาศัยสมรรถภาพทางนี้เป็นกรณี อังกฤษจึงสามารถจูงประเทศทั้งหลายทั้งมหาอำนาจ และจูงอำนาจนับหลายประเทศเข้าเป็นฝ่ายตนจนได้ นอกจากนั้น ยังได้ยื่นมือมาขอความช่วยเหลือจากอินเดียด้วย ในสมัยนั้นอินเดียเพิ่งจะตื่นจากความหลงเชื่อในความหวังดีของอังกฤษ ฉะนั้นจึงเป็นธรรมดา ถึงอินเดียจะเคยมีความเอาใจใส่ในชัยชนะของอังกฤษก็ตาม แต่ทว่าฝ่ายอังกฤษต้องการและวิงวอนขอให้อินเดียช่วยเหลือทางกำลังทรัพย์และกำลังกาย อังกฤษผู้ซึ่งเคยออกพระราชบัญญัติริบอาวุธจากอินเดีย มา ณ บัดนี้กลับมอบปืนให้ในมืออินเดียเพื่อทำหน้าที่ให้ตน มิหนำซ้ำยังสัญญาไว้ด้วยว่าเสร็จการสงครามแล้ว จะยกฐานะของอินเดียเทียมกับเมืองอื่นๆ ของอังกฤษ จะให้สิทธิแก่ชาวอินเดียเสมอภาคกับอังกฤษ และจะมอบอำนาจการปกครองตามระบบ Dominian Status ให้ ผู้นำบางท่านไม่ไว้ใจในคำสัญญาของรัฐบาล แต่บางท่านถึงกับหลงเชื่อทันที ดังได้เห็นมาแล้ว ท่านคานธีก็เป็นผู้หนึ่ง ที่หลงเชื่อในคำสัญญาของอังกฤษ อย่างไรก็ดี เมื่อท่านเหล่านี้อ้างข้อสัญญาต่อรัฐบาลขึ้นเป็นเครื่องขอร้องอินเดียให้ช่วยสงคราม อินเดียจึงได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ยอมพลีทรัพย์สมบัติ ชีวิตร่างกาย เพื่อนำชัยชนะมาสู่รัฐบาลอังกฤษ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะได้เห็นมาตุภูมิอันเป็นที่รักของตน ตั้งอยู่ในฐานะเทียมบ่าเทียมไหล่กับประเทศอิสระทั้งหลาย มหาตมะคานธีแสดงสุนทรพจน์ ชักจูงใจมหาชนว่า

“ท่านทั้งหลาย ได้แสดงมาแล้วโดยมีผลสำเร็จว่าจะต่อต้านอำนาจรัฐบาลภายในขอบเขตแห่งสิทธิราษฎรได้ อย่างไรท่านทั้งหลายได้แสดงมาแล้วว่า จะรักษาเกียรติยศของตนโดยไม่ทำร้ายแก่คนอื่นได้อย่างไร ฉะนั้นฉันจะอำนวนโอกาสให้ท่านทั้งหลาย เพื่อแสดงให้เห็นว่า ถึงแม้ท่านได้ต่อสู้กับรัฐบาลมาแล้วก็จริง แต่ท่านไม่ถือความเป็นศัตรูกันกับรัฐบาลแม้แต่น้อย

“ท่านทั้งหลายทุกคนเป็นผู้ปรารถนา Home Rule และบางท่านก็เป็นสมาชิกสมาคม Home Rule ด้วยความหมายข้อหนึ่งแห่งคำ Home Rule คือ เราเป็นส่วนหนึ่งแห่งราชอาณาจักรอังกฤษ เราไม่มีสิทธิเท่าเทียมกับชาวอังกฤษ สมัยนี้เราเป็นชาติที่อยู่ใต้บังคับอังกฤษ เราไม่เป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรดัง คานาดา อาฟริกาใต้ และออสเตรเลีย ประเทศเราเป็นประเทศอยู่ใต้บังคับเราต้องการสิทธิเท่าเทียมกับชาวอังกฤษ เราปรารถนาที่จะเป็นส่วนหนึ่งแห่งราชอาณาจักร ดังอาณาจักรอื่นๆ เหนือทะเล เราหวังอยู่ว่า สมัยจะมาถึงในเมื่อเรามีสิทธิที่จะครองตำแหน่ง แม้จะเป็นผู้สำเร็จราชการเองด้วย เพื่อจะก่อให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น เราจะต้องมีความสามารถในการจับถือและใช้อาวุธ ตราบใดเรายังต้องอาศัยอังกฤษเป็นผู้ช่วยป้องกัน ตราบใดที่เรายังไม่พ้นจากห้วงความกลัวสงครามตราบนั้นจะถือว่าเป็นผู้มีสิทธิเท่าเทียมกับอังกฤษไม่ได้ ฉะนั้นเราจึงควรรู้จักวิธีใช้อาวุธ หาความสามารถในการป้องกันตัว อาศัยเหตุดังกล่าวนี้ จึงนับว่าเป็นหลักหน้าที่ของเราแท้ที่จะต้องรับสมัครเป็นทหารอาสา

ถ้าเราไม่เตรียมพร้อมที่จะเสียสละเพื่อราชอาณาจักรและอิสรภาพของประเทศแม้เพียงเท่านี้ได้ ก็แปลว่าไม่เป็นของแปลกที่เรายังต้องเป็นชาติที่ไม่สมควรแก่อิสรภาพ ถ้าหมู่บ้านทุกตำบล พร้อมใจกันสละชายฉกรรจ์ตำบลละ ๒๐ คนและหากเขาเหล่านั้นจะมีโอกาสรอดมาจากสงครามได้ ก็ต้องกลายเป็นรั่วของหมู่บ้าน ถ้าเขาล้มนอนตายอยู่ตามสนามสงคราม ชื่อเสียงของเขา ชื่อเสียงของหมู่บ้านและประเทศของเขาจะคงอยู่ตลอดนิรันดร เพราะเขาได้พลีชีวิตเพื่อชาติ”

คำขอร้องของท่านคานธี จะได้ศูนย์สิ้นไปโดยไร้ผลก็หาไม่ ชายฉกรรจ์จากทุกมุมของอินเดียได้พากันมาสมัครเป็นทหารอาสา คนจนผู้อ่อนกำลังและน้อยทรัพย์ยอมอดอาหารเทกระเป๋าของตนช่วยเหลือรัฐบาล มารดาวิงวอนบุตรให้เข้าสมัครเป็นทหารอาสา โดยหวังว่า เลือดทุกๆ หยดของบุตรจะสร้างทางกู้ประเทศให้เป็นอิสระ ภรรยาสวมอาวุธให้สามีที่รัก จะเป็นสะพานนำอินเดียไปสู่ฐานะความเป็นอิสระ แถวทหารอาสาสวมพวงมาลัย เดินขบวนไปตามถนนหลวงของอินเดียปลุกใจยุวชนผู้ที่ยังลังเลใจอยู่ให้ตัดสินใจสมัคร

ดังนั้นรัฐบาลอังกฤษ จึงได้รับความช่วยเหลือจากอินเดียตามความประสงค์ของตนทุกๆ อย่าง สงครามได้ผ่านพ้นไปแล้ว อังกฤาได้รับเกียรติยศอย่างสูงแห่งการชนะสงครามแล้วอินเดียกำลังใฝ่ฝันถึงอิสรภาพที่รัฐบาลได้ให้คำมั่นสัญญาไว้ว่าจวนจะมาถึงใกล้อยู่แล้ว แต่อนิจจาความฝันนั้นได้ดับศูนย์หายไปอย่างปราศจากร่องรอย เมื่ออินเดียตื่นจากความหลงในความฝัน กลับได้สำนึกว่า วิมานในเวหาที่เขาสร้างขึ้นด้วยความฝันนั้น ได้ทลายลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว

ที่มา:สวามี  สัตยานันทปุรี