ประวัติความเป็นมาของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส

Socail Like & Share

โคลัมบัส เกิดที่เยนัว ในปี พ.ศ.1989 แต่วันเกิดไม่เป็นที่ทราบกันแน่นอน เขาเป็นชาวอิตาเลียน ได้เสียชีวิตลงเมื่อมีอายุได้ 60 ปี ในวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2049 ที่ประเทศสเปนโคลัมบัส

พ่อแม่ของโคลัมบัสมีการทำมาหากินเป็นหลักแหล่ง ฐานะความเป็นอยู่ในวัยเด็กของเขาจึงไม่เลวนัก แต่ต้องมาตายอย่างยากจนที่สุดหลังจากที่ได้ค้นพบโลกใหม่ และได้ให้ความมั่งคั่งแก่คนอย่างมากมายแล้ว

โคลัมบัสได้ทำสัญญากับพระเจ้าเฟอร์ดินันด์แห่งสเปนเกี่ยวกับการค้นให้พบโลกใหม่ โดยที่พระเจ้าเฟอร์ดินันด์ได้ลงทุนเป็นค่าเรือและค่าเสบียงในการเดินทางให้ จากการค้นพบโลกใหม่ในครั้งนี้ทำให้พระเจ้าเฟอร์ดินันด์มีกำไรอย่างล้นหลาม แต่ก็ยังคิดว่าโคลัมบัสคดโกงอีก จึงได้ส่งขุนนางไปจับตัวโคลัมบัสมารับโทษ

ทวีปอเมริกาที่สมบูรณ์พูนสุขอยู่ในเวลานี้คือ โลกใหม่ที่โคลัมบัสได้ค้นพบ แต่เขาไม่เคยได้ผลประโยชน์จากการค้นพบนี้เลย เขาต้องกลายมาเป็นคนพเนจรหลังจากพ้นโทษทัณฑ์มาแล้ว และต้องตายเพราะความยากจน ไม่มีแม้แต่ชื่อเสียง คนที่เอาชื่อเสียงไปหมดเป็นชาวอิตาเลียนที่มีชื่อว่า อเมริโก เวสปุจจี เนื่องจากภายหลังที่โคลัมบัสได้ค้นพบโลกใหม่แล้วนั้น เขาก็ได้เดินทางไปที่นั่น แล้วได้แสดงตัวว่าเป็นผู้ที่พบทวีปใหญ่นี้เป็นคนแรก เขาได้เอาชื่อของเขาตั้งเป็นชื่อทวีปใหม่ที่พบ โดยพิมพ์ลงในตำราภูมิศาสตร์เสียใหม่ว่า “อเมริกา”

ความดีอันแท้จริงของโคลัมบัส กว่าคนจะได้เห็นอาจต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยไปกว่า 200 ปี เขาไม่ได้อะไรเลยแม้แต่ชื่อเสียง หลังจากที่ได้ทิ้งโลกใหม่ที่มั่งคั่งสมบูรณ์และยิ่งใหญ่นี้ไว้ให้แก่มนุษย์รุ่นหลังแล้ว

คำพูดของชาวอเมริกันในเวลานี้ ที่ใช้เป็นคำปลอบใจผู้ที่ทำความดีแล้วไม่ได้ชื่อเสียงมาเป็นของตนว่า “อเมริกาไม่ใช่ได้นามตามชื่อโคลัมบัส”

การสร้างผลดีให้แก่ผู้อื่นโดยที่ตนเองไม่ได้รับผลคือ ความยิ่งใหญ่อันแท้จริง ผู้ที่ไม่ได้รับการตอบแทนแม้แต่ชื่อเสียงจากงานสำคัญของตน ก็คือผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริง

โคลัมบัสเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ที่ไม่รู้จักการใช้กุศโลบายเพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ แต่อเมริโก เวสปุจจี รู้จักการใช้กุศโลบายมาสร้างความยิ่งใหญ่ จึงได้ความยิ่งใหญ่ขึ้นมาจริงๆ ทั้งๆ ที่เขาไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่อะไรเลย และแม้ชาวโลกจะรู้ว่า อเมริโก เวสปุจจี เป็นนักฉ้อฉลเอาชื่อเสียงของโคลัมบัสไป แต่ก็ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนชื่อทวีปนี้ให้เป็นอย่างอื่นได้ นามของเขาก็ยังคงเป็นชื่อทวีป “อเมริกา” มาจนทุกวันนี้ ดังนั้น ผู้ที่มีนามในที่สำคัญต่างๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นคนสำคัญและมีประโยชน์จริงเสมอไป เรื่องนี้จึงถือเป็นคติสอนใจได้อีกอย่างหนึ่ง

บิดาของโคลัมบัสเป็นเจ้าของภัตตาคารแห่งหนึ่งในเมืองเยนัว สำหรับฝรั่งก็นับว่าเป็นฐานะที่ดี โคลัมบัสได้ช่วยบิดาทำงานในภัตตาคารนั้น โดยมีรายได้ส่วนตัว และได้เป็นหุ้นส่วนด้วย และเขาก็ได้ทำงานมาจนกระทั่งมีอายุได้ 20 ปี

ผู้คนที่เข้ามารับประทานอาหารในภัตตาคารก็ล้วนเป็นนักเดินทะเลทั้งนั้น เพราะเยนัวเป็นเมืองท่า ในช่วงเวลาที่รับประทานอาหาร ชาติที่มีรกรากจากละตินจะชอบการสนทนามาก พวกเขามักสนทนากันเรื่องการผจญภัยทางทะเลว่าใครเดินเรือไปได้ไกลกว่ากัน และเป็นที่ผู้อื่นไม่เคยไปจะทำให้เขาภาคภูมิใจกันมาก ทุกๆ วัน โคลัมบัสจะได้ฟังการสนทนาแบบนี้ และอยากเป็นนักเดินทะเลกับเขาบ้าง ด้วยเพราะเกิดความมักใหญ่ใฝ่สูงขึ้นมาในใจของคนหนุ่ม

เรื่องการเดินทางทะเลไปไกลๆ นั้น เป็นการอวดอ้างที่สำคัญมาก เพราะเป็นการเสี่ยงภัยอันตรายอย่างมาก ซึ่งไม่ใช่ภัยจากการหมดเสบียงอาหาร การกลับมาไม่ได้ การประสบอุบัติเหตุจากคลื่นลมจนเรือแตกเท่านั้น แต่เป็นอันตรายสำคัญที่กลัวจะพลัดตกลงไปจากโลก เพราะในเวลานั้นยังเข้าใจกันว่าโลกไม่กลม ยังแบนเป็นแผ่นกระดานไม่มีที่สิ้นสุด ฉะนั้น นักผจญภัยจึงเป็นวีรบุรุษที่กล้าเดินเรือทะเลไปไกลๆ ความรู้สึกเช่นนี้จึงได้เกิดขึ้นกับโคลัมบัสมากขึ้นทุกที

โคลัมบัสได้เลิกทำงานภัตตาคาร และหายตัวไปจากเยนัวโดยที่ไม่มีใครทราบหลายปี แม้เขาจะเขียนประวัติของตัวเองไว้แต่ก็ไม่ได้บรรยายถึงชีวิตในช่วงนี้ ต่อมาอีกหลายปีก็ได้ปรากฏว่าเขาได้เป็นนายเรือรับจ้างติดตามโจมตีเรือโจรสลัดให้กับพระเจ้าแผ่นดินสเปน เพราะรัฐบาลต่างๆ ในเวลานั้น ยังไม่มีเรือรบหลวงเพียงพอในการปราบโจรสลัด จึงต้องจ้างนักผจญภัยเพื่อทำการอันนี้ หลังจากที่โคลัมบัสได้ทำงานนี้อยู่ระยะหนึ่ง เขาก็ได้ประสบกับเหตุการณ์เรือแตกใกล้ฝั่งโปรตุเกส และได้เกาะท่อนไม้ว่ายน้ำมาขึ้นฝั่ง

เมื่อหาเรือได้ใหม่เขาก็เดินทางไปเกาะไอซ์แลนด์ ซึ่งเกาะไอซ์แลนด์ในเวลานั้นเรียกได้ว่าเป็นขอบที่สุดของโลก ถ้าเดินเรือต่อไปก็จะพลัดตกจากโลกได้

โคลัมบัสได้ลองเดินเรือต่อไปไกลจากเกาะไอซ์แลนด์มากก็ไม่ตกลงไปจากแผ่นพิภพ แต่ก็เกิดความกลัวขึ้น และได้เดินเรือกลับมายังโปรตุเกส

จากการเดินเรือครั้งนี้ทำให้โคลัมบัสคิดว่า อาจจะไม่เป็นความจริงในเรื่องที่เชื่อกันมาช้านานว่าโลกแบนและมีขอบเขต เพราะมาร์โคโปโลก็เคยเดินทางไปเมืองจีน ญี่ปุ่น เรียกเมืองจีนว่าคาร์เธ เรียกเมืองญี่ปุ่นว่าชิปังโก ตั้งแต่สมัยอเล็กซานเดอร์มหาราชกรีก ฝรั่งก็เคยรู้จักประเทศทางตะวันออกอย่างอินเดีย ซึ่งกว่าจะถึงเมืองเหล่านี้ก็ไกลมาก และการเดินทางไปตะวันตกก็อาจจะถึงเมืองเหล่านี้ได้ในระยะทางใกล้กว่านี้ถ้าหากว่าโลกกลม

เมื่อโคลัมบัสมีอายุได้ 28 ปี เขาได้แต่งงานในประเทศโปรตุเกส กับสตรีชื่อ พิเลปา เปเรสเตรลโล ซึ่งเป็นลูกครึ่งชาติอิตาเลียนกับโปรตุเกส โดยพ่อตาของเขาเคยเป็นคนเดินเรือที่เก่งคนหนึ่งเหมือนกันก่อนที่จะมาเป็นข้าราชการในสำนักโปรตุเกส และได้สะสมหนังสือเกี่ยวกับการเดินเรือไว้มากมาย หลังจากแต่งงานโคลัมบัสก็ได้ศึกษาหาความรู้อยู่เป็นเวลานานโดยอาศัยจากห้องสมุดของพ่อตา จนมีวิชาการเดินเรือไม่แพ้ใครในสมัยนั้น

ต่อมามีผู้เดินเรือคนหนึ่งมาเล่าให้เขาฟังว่า ได้เดินเรือไปไกลกว่าคนอื่นๆ ทางตะวันตก แต่ประสบกับเรือแตกและรอดชีวิตกลับมาได้ และคิดว่าทางตะวันตกต้องมีทะเลให้เดินต่อไปได้อีกโดยที่ไม่พลัดตกจากแผ่นพิภพ

เพื่อยืนยันความคิดเรื่องนี้ของโคลัมบัสว่าจะผิดหรือถูก เขาจึงได้เขียนหนังสือแสดงความคิดเห็น และขอคำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปยัง มาเอสโตร ปาโกโล ซึ่งเป็นนักศึกษาค้นคว้าวิชาภูมิศาสตร์อย่างมากมายคนหนึ่ง ซึ่งเขาก็ได้รับคำตอบจากท่านผู้นี้ว่า การเดินเรือมุ่งหน้าไปทิศตะวันตกจะสามารถถึงเมืองตะวันออกอย่าง เอเชีย จีน หรือญี่ปุ่นได้ และเป็นระยะทางที่ใกล้กว่าด้วย

เขาจึงเกิดความแน่ใจในเรื่องนี้ขึ้น แต่การเดินทางไกลไปในทะเลที่ไม่เคยไปเช่นนี้ จำเป็นต้องใช้เรือใหญ่และเป็นเรือที่ดี การหาเรืออย่างนี้ให้ได้ก็ต้องมีเงินทุนจำนวนมาก เขาจึงได้ถวายฎีกาเสนอเรื่องนี้ต่อพระเจ้าแผ่นดินโปรตุเกส แต่ก็ได้รับการปฏิเสธอย่างรวดเร็ว เพราะความคิดของโคลัมบัสที่คิดว่าโลกกลมนั้น ถือเป็นเรื่องสติวิปลาส ต่อมาเขาก็ได้เสนอความคิดเห็นนี้ต่อพระเจ้าเฟอร์ดินันด์แห่งสเปน แต่ปราชญ์ที่เป็นคาทอลิกของพระเจ้าแผ่นดินสเปนก็วินิจฉัยว่า ความเห็นว่าโลกกลมของโคลัมบัสเป็นสิ่งที่นอกรีตนอกทาง เพราะพระเจ้าได้สร้างโลกให้แบนไว้แล้ว

โคลัมบัสได้เดินทางไปประเทศอังกฤษและฝรั่งเศส หลังจากที่เสนอเรื่องทางสเปนแล้วไม่สำเร็จ โดยเขาได้เสนอต่อพระเจ้าแผ่นดินทั้งสองประเทศนี้ แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ ในสายตาของคนทั้งหลายในเวลานั้นคิดว่าโคลัมบัสเป็นคนเสียสติ

โคลัมบัสยากจนลงเนื่องจากได้พยายามในเรื่องนี้จนไม่มีเวลาทำมาหากิน ภรรยาของเขาได้ถึงแก่กรรมในเวลาต่อมา เขากลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว ไม่มีเพื่อน ไม่มีผู้สนับสนุน ได้ไปขออาหารจากวัดเพื่อประทังชีวิต แม้โคลัมบัสจะมีความคิดนอกรีตนอกศาสนา วัดก็ยังเป็นที่ให้อาหารและโอวาทว่า คนที่คิดนอกรีตรู้ดีกว่าพระเจ้า ก็จะเกิดผลร้ายเช่นนี้

แต่โคลัมบัสก็ยังคิดว่าโลกกลมอยู่เสมอ เขาคิดว่าถ้าได้เรือใหญ่ๆ มีเสบียงอาหารเพียงพอ เขาก็จะสามารถมุ่งหน้าไปตะวันตกไปถึงตะวันออกได้ หากมีความพยายามก็อาจพบทางสำเร็จอย่างไม่คาดหมายได้ ต่อมาโคลัมบัสได้บังเอิญไปพบกับหญิงงามชาวสเปนคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนโปรดของพระเจ้าเฟอร์ดินันด์ เธอเชื่อความคิดของโคลัมบัส ทำให้พระเจ้าเฟอร์ดินันด์อยากทดลองเรื่องนี้ขึ้นมา จึงรับสั่งให้โคลัมบัสมาพบ

เมื่อโคลัมบัสได้เข้าเฝ้าพระเจ้าเฟอร์ดินันด์ และได้ตอบข้อซักถามมากมาย เขาก็ได้เรือและทุนสำหรับการเดินทางตามความคิดของเขา โดยได้ทำเป็นสัญญาต่อกัน มีสาระสำคัญว่า ถ้าโคลัมบัสเดินทางเป็นผลสำเร็จ และได้พบทรัพย์สมบัติอะไร ก็ต้องตกเป็นของแผ่นดินสเปน 9 ส่วน อีก 1 ส่วนก็จะเป็นของโคลัมบัส

โคลัมบัสได้ออกเดินทางวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2035 เมื่อได้สิ่งที่ต้องการ ซึ่งในเวลานั้นเขามีอายุได้ 41 ปีแล้ว

โคลัมบัสได้พบโลกใหม่ในวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2035 โดยใช้เวลาเดินทาง 2 เดือน กับ 8 วัน และเขาก็ได้เขียนจดหมายเหตุ เล่าเหตุการณ์ในการเดินทางผจญภัยครั้งนี้ของเขา ซึ่งมีดังต่อไปนี้

วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม เสากระโดงเรืออันหนึ่งหัก สงสัยกะลาสีสองคนจะแกล้งทำหัก เพื่อจะไม่ต้องเดินทางต่อไป

วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม เรือรั่ว ต้องทำการซ่อม

วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน เดินทางได้ 10 ลีค แต่ได้จดระยะทางให้น้อยกว่านี้ เพื่อมิให้คนเรือกลัวและท้อถอย(เพราะถ้าคนเรือรู้ว่าเดินทางได้มากและไปไกลก็จะพากันกลัว)

วันจันทร์ที่ 10 กันยายน เดินทางได้จริง 60 ลีค แต่จดตัวเลขประกาศเพียง 48 ลีค

วันเสาร์ที่ 15 กันยายน ตอนหัวค่ำ เห็นไฟพุ่งจากท้องฟ้าลงมาทะเล คนเรือกลัวกันมาก

วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน เห็นหญ้าและใบไม้สีเขียวลอยอยู่ในทะเล ซึ่งทำให้แน่ใจว่าเกาะหรือฝั่งอยู่ไม่ไกลนัก

วันจันทร์ที่ 17 กันยายน น้ำทะเลเค็มน้อยกว่าวันก่อน คนเรือดีใจกันมาก(เพราะแสดงว่าน้ำตื้น) เรือแล่นเร็วมากขึ้น ทุกคนมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าว่าจะได้ถึงฝั่งโดยเร็ว

วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน เรือแล่นตรงไปทางตะวันตกเรื่อยไป ไม่เห็นเกาะหรือฝั่งเลย วันนี้คนเรือเอะอะมาก บอกว่าลมพัดไปตะวันตกอยู่เรื่อยๆ ตั้งแต่เดินทางมายังไม่เคยพบลมพัดไปทิศอื่น มองไม่เห็นทางจะให้เรือแล่นกลับคืนประเทศสเปนได้ คนเรือบ่นวิตกว่าจะต้องพลัดตกจากแผ่นพิภพเป็นแน่

วันอังคารที่ 25 กันยายน เห็นเกาะอยู่ข้างท้ายเรือ แต่สุดท้ายก็เป็นภาพหลอกตา

ในจดหมายเหตุของโคลัมบัสเรียกภาพหลอกตานี้ว่า Mirage ซึ่งในมหาสมุทรและทะเลทรายจะพบได้บ่อยๆ การเห็นเรือใหญ่ หรือเกาะในมหาสมุทรว่าอยู่ใกล้ๆ แล้วก็หายไป เรียกกันว่า เรือผี หรือเกาะผี ภาพหลอกตานี้จะเห็นกันทุกคน ภาพเหล่านี้เป็นภาพจริงๆ ที่อยู่ห่างไกลมาก มันเกิดจากความวิปริตของอากาศจึงทำให้เห็นภาพอยู่ใกล้ๆ และเมื่อหมดความวิปริตภาพนั้นก็จะหายไป ในทะเลทรายบางครั้งก็เห็นเป็นเมืองทั้งเมือง เป็นห้วงน้ำใหญ่ ซึ่งเกิดจากความปรารถนาของผู้เดินทาง เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้เสมอ แต่แล้วก็จะหายไป

วันพุธที่ 3 ตุลาคม คนเรือก่อการจลาจล แต่สงบลงได้ คงแล่นเรือต่อไป

ในตอนหนึ่งโคลัมบัสเขียนเล่าไว้ว่า คนเรือขู่โคลัมบัสว่าถ้าไม่หันเรือกลับก็จะจับเขาโยนน้ำ แต่เขาก็ได้แก้เข็มทิศจากทิศตะวันตกให้กลายเป็นทิศตะวันออกเพื่อหลอกคนเรือ จึงได้มุ่งหน้าต่อไปตามเส้นทางที่ต้องการ

วันเสาร์ที่ 6 ตุลาคม มองไม่เห็นเกาะหรือฝั่ง คงแล่นต่อไป

วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม มองเห็นแผ่นดิน เห็นพฤกษชาติสีเขียว คนเรือมารายงานว่า คราวนี้เห็นฝั่งแน่ เวลา 10 น. กลางคืนเห็นไฟจุดอยู่บนฝั่ง ต่อมาอีกสองชั่วโมงภายหลัง ก็แน่ใจว่าถึงฝั่งแน่นอน

ความมานะพยายามในการเดินทางของโคลัมบัส ทำให้ได้ไปถึงแผ่นดินใหญ่ ซึ่งเขาไม่นึกฝันว่าเป็นโลกใหม่ ทวีปใหม่ที่ได้ค้นพบเพื่อประโยชน์แก่มนุษยชาติในวันหน้า แต่รู้ว่าไม่ใช่เมืองจีนหรือเมืองญี่ปุ่น เพราะเคยมีความรู้จากรายงานของมาร์โคโปโลว่า ผิวของชาวจีนและชาวญี่ปุ่นนั้นไม่คล้ำ แต่คนที่พบในแผ่นดินนี้ มีผิวคล้ำเป็นสีแดง และคิดว่าเป็นแผ่นดินของอินเดีย จึงเรียกคนเหล่านี้ว่า อินเดียนแดง มาจนถึงทุกวันนี้

จากรายงานของมาร์โคโปโลเมื่อ 200 ปีก่อนสมัยของโคลัมบัส ได้บอกไว้ว่า บุรพทิศนั้นเต็มไปด้วยเงินทอง สามารถขนมาได้ตามชอบใจ จึงทำให้พระเจ้าแผ่นดินสเปนแน่ใจและเชื่อว่าการเดินเรือของโคลัมบัสจะเป็นผลสำเร็จจริง แต่เมื่อโคลัมบัสไปถึงแผ่นดินใหม่กลับไม่มีเงินทองอยู่ตามที่มาร์โคโปโลเขียนไว้ แต่จะเป็นแร่ที่ต้องขุดค้นหากันไปทีละเล็กละน้อย

โคลัมบัสเชื่อว่า แผ่นดินใหม่ที่ได้พบนั้นจะเป็นอินเดียหรืออะไรก็ตาม แต่ก็เป็นบุรพทิศที่ต้องมีเงินทองและเพชรนิลจินดาแน่ แล้วเขาก็ได้เดินทางกลับสเปนและรายงานต่อพระเจ้าแผ่นดินว่า เขาได้พบแผ่นดินที่มีทรัพย์สมบัติมีค่ามาถวายตามสัญญาแล้ว

ทรัพย์สมบัติที่ได้กลับมาก็มีอยู่บ้างแต่ไม่มากเหมือนที่พระเจ้าแผ่นดินสเปนหวังไว้ แม้โคลัมบัสจะเดินทางกลับไปอีก 3 ครั้ง ก็ได้ของมาถวายไม่มากอย่างที่พระเจ้าแผ่นดินหวัง จึงคิดว่าโคลัมบัสอาจจะยักยอกทรัพย์เอาไว้เอง จึงได้ส่งขุนนางมาคอยติดตามความเคลื่อนไหวของโคลัมบัสในขณะที่อยู่ที่แผ่นดินใหญ่ ขุนนางผู้นั้นได้รู้ว่าเงินทองของมีค่าไม่ได้มีอยู่มากมาย การที่โคลัมบัสจะคดโกงนั้นเป็นไปไม่ได้

แต่อาจจะเอาโทษโคลัมบัสได้ก็ในฐานที่โง่กว่ามาร์โคโปโล เพราะจากรายงานที่เขียนไว้ว่า เงินทองเป็นกรวดทราย กอบโกยเอามาเท่าไรก็ได้ แต่ที่โคลัมบัสไปพบ เงินทองก็มีเหมือนกัน แต่ต้องหาด้วยความลำบากและไม่มากแบบนั้น ทำให้เขามีความผิดในฐานที่ไม่สามารถทำประโยชน์แก่แผ่นดินสเปนได้อย่างที่พระเจ้าแผ่นดินหวังไว้ จึงทำให้โคลัมบัสต้องถูกจับกุม

ในความเป็นจริงแล้ว โคลัมบัสได้ทำประโยชน์ให้แก่พระเจ้าแผ่นดินสเปนมากกว่าทุนที่ได้ลงไปด้วยซ้ำ และเขาก็ได้เขียนเรื่องไว้ในตอนนี้ว่า “ข้าพเจ้าได้ทำประโยชน์ให้แก่พระเจ้าแผ่นดิน มากกว่าที่เจ้านายคนใหญ่โตใดๆ ได้เคยทำมาแล้วทั้งสิ้น แต่ในเวลานี้ ข้าพเจ้าต้องตกอยู่ในฐานะอันต่ำช้าที่สุด คงจะมีสักวันหนึ่งในภายหน้า ที่คนทั้งหลายจะต้องฟังเรื่องของข้าพเจ้าด้วยความสงสาร และจะต้องสรรเสริญงานที่ข้าพเจ้าทำสำเร็จมา”

โคลัมบัสได้ตายเพราะความยากจน หลังจากพ้นโทษทัณฑ์มาแล้ว ก่อนที่เขาจะตาย เขาได้คิดว่าผลงานอันยิ่งใหญ่ของเขาได้ถูกโกงกันไปหลายชั้น เริ่มจากถูกราชสำนักสเปนคดโกง และต่อด้วยการถูกคนชนชาติเดียวกัน ที่ชื่อ อเมริโก เวสปุจจี คดโกงเอาชื่อเสียงว่าได้เป็นผู้ค้นพบเสียเองไปอีกชั้นหนึ่งในปี พ.ศ. 2046 โดยการพิมพ์หนังสือออกโฆษณาไปอย่างแพร่หลาย จนมีผู้แต่งตำราภูมิศาสตร์ชาวเยอรมันคนหนึ่งได้เรียกชื่อทวีปใหม่ในหนังสือตำราภูมิศาสตร์ของเขาว่า “อเมริกา” จึงใช้กันมาจนทุกวันนี้

โคลัมบัสได้บากบั่นพยายามเพื่อค้นพบทางคมนาคมใหม่จากการเชื่อว่าโลกกลม เขาได้เพียรพยายาม ฝ่าฟันอุปสรรคอย่างไม่ลดละ จนได้พบแผ่นดินใหม่ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากร จึงเท่ากับให้โลกใหม่แก่มนุษย์ทั้งโลก จึงไม่ต้องสงสัยว่าความยิ่งใหญ่ของเขาอยู่ที่ตรงไหน ไม่มีพระเจ้าในลัทธิศาสนาใดจะสร้างโลกได้จริงเหมือนโคลัมบัส แต่เขาก็ไม่ได้รับประโยชน์จากสิ่งนี้เลย แม้แต่ชื่อเสียงก็ยังถูกโกงเอาไป สิ่งที่เขาสมหวังก็คงมีอยู่ข้อเดียว คือ ปณิธานที่ได้เขียนไว้ว่า “คงจะมีสักวันหนึ่งในภายหน้า ที่คนทั้งหลายจะต้องฟังเรื่องของข้าพเจ้าด้วยความสงสาร และจะต้องสรรเสริญงานที่ข้าพเจ้าทำสำเร็จมา”

และนี่คือผู้ยิ่งใหญ่ ที่ตายไปพร้อมกับการสร้างโลกใหม่ไว้เป็นสมบัติของมนุษยชาติโดยที่ตัวเขาเองไม่ได้รับผลตอบแทนอย่างใดเลย

ที่มา:พลตรี  หลวงวิจิตรวาทการ