หลวงบรรเทาทุกข์ขวากหนามการปฏิวัติเงียบ

Socail Like & Share

หลวงบรรเทาทุกข์ขวากหนามการปฏิวัติเงียบ

วีรวัฒน์  วงศ์ศุปไทย

ตะวันรอนอ่อนแสงในยามเย็น เสียงเรือโยงค่อยจางหายไป ผิวน้ำราบเรียบไม่มีคลื่นลมแรงอีกแล้วเบื้องหน้าเป็นแผ่นดินเกาะใหญ่ปกคลุมด้วยพรรณไม้น้อยใหญ่เขียวชะอุ่มชุ่มชื้น หัวใจลองพระยาบรรฦา และลำน้ำเจ้าพระยาโอบล้อมเกาะใหญ่ให้ลอยเด่นอยู่กลางลำน้ำ ท้ายเกาะบางกระบือ โพธิ์แตงเป็นถิ่นตำบลในเขตจังหวัดปทุมธานี อำเภอสามโคกและแดนต่อแดนในเขตจังหวัดอยุธยา อำเภอบางไทร

ท้ายเกาะใหญ่เคยมีเจดีย์องค์ใหญ่ตั้งตระหง่านตา ท่ามกลางดงไม้ริมฝั่งน้ำ บัดนี้เหลือแต่ซากโคนโพธิ์ใหญ่เจดีย์นี้มีชื่อ “เจดีย์หลวงบรรเทาทุกข์” มีอดีตอันยาวนานด้วยหยาดน้ำตาความทุกข์ยากและความตาย ความเป็นธรรมอยู่ที่ไหนใครจะช่วยเมื่ออำนาจนั้นตกอยู่กับฝ่ายอธรรม.

จากวันนั้นถึงวันนี้ย้อนรอยถอยหลังไปนับร้อยปี  ครั้งแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ.๒๔๑๑-๒๔๕๓) เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่าพระองค์เสด็จขึ้นครองราชสมบัติในขณะที่พระชนมายุได้ ๑๕ พรรษา ในการจัดการปกครองในระยะแรก พ.ศ.๒๔๑๑-๒๔๑๖ ที่ประชุมเสนาบดีได้ตกลงเลือก “เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์” (ช่วงบุญนาค) เป็นผู้สำเร็จราชการและได้สถาปนา กรมหมื่นวรวิชัยชาญพระโอรสองค์ใหญ่ของพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระมหาอุปราช ซึ่งเป็นอนุชาของพระองค์ในช่วงต้นรัชกาลต้องประสบปัญหาในการปกครอง ในการดึงอำนาจสู่ส่วนกลางอย่างมาก กับกลุ่มตระกูลบุญนาค ซึ่งมีอิทธิพลด้านเศรษฐกิจการเมือง เช่น กรณีบาดหมางระหว่างวังหลวงกับวังหน้า

“เหมือนว่าวที่ปล่อยจนหมดสายป่านไม่มีเหลือเลย ยังเหลือแต่ธุระที่จะทำอยู่เพียง จะชั่งกำลังตัวว่าเมื่อเราเป็นเด็กอยู่มีกำลังเพียงเท่านั้นจะรั้งว่าวไว้ไม่หกล้ม ฤาจะปล่อยให้ว่าวหลุดลอยเสีย”

การปฏิวัติเงียบ

ในวันที่ ๑ มกราคม ปี พ.ศ. ๒๔๒๗ “พระองค์ได้รับคำกราบบังคมทูลเป็นลายลักษณ์อักษรมีใจความติเตียนการปกครองของพระองค์ให้เร่งรัดการปกครองเปลี่ยนแปลงเสียโดยเร็ว ผู้กระทำการดังกล่าวได้แก่ ๑. กรมพระนเรศวรวรฤทธิ์ ๒. กรมขุนพิทยลาภพฤฒิธาคา ๓.พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่อีก ๗ คน ใจความสำคัญคือต้องการให้ประเทศไทยได้ก้าวหน้าทัดเทียมกับประเทศตะวันตก เปิดโอกาสให้ราษฎร์ได้มีส่วนร่วมในการปกครองมากขึ้น แทนการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช และไม่เห็นด้วยกับการแก้ปัญหาแบบประนีประนอมเสียดินแดนเพื่อรักษาเอกราช พระองค์ได้พระราชดำรัสตอบอย่างละมุนละม่อมมิได้ถือโทษแก่ผู้กราบบังคมทูล ในครั้งนั้นพระองค์ได้ปฏิวัติการปกครอง กฎหมาย ทางด้านสังคมได้ยกเลิกประเพณีต่าง ๆ ที่ไม่เข้ากับยุคสมัยเสียเป็นส่วนมาก เช่น เลิกทาส และเสด็จต่างประเทศยุโรป และเอเชีย”

การปกครองส่วนกลางแต่เดิมแบ่งเป็น “ฝ่ายทหาร” มีสมุหกลาโหมบัญชาหัวเมืองฝ่ายใต้ “ฝ่ายพลเรือน” มีสมุหนายกบัญชาหัวเมืองฝ่ายเหนือ จัดแบ่งกระทรวงเสนาบดีเป็น “จตุสดมภ์” มีกรมเมือง(นครบาล) กรมวัง กรมคลัง กรมนา ซึ่งพระองค์เห็นว่าเป็นการล้าสมัยไม่ทันต่อสภาพการณ์จึงเปลี่ยนเป็น

การปกครองส่วนกลางจัดตั้งเป็นสภาแผ่นดิน ๒ สภา คือ “สภารัฐมนตรี” กับ “สภาองคมนตรี” ขึ้นในปี พ.ศ.๒๔๑๗

การปกครองส่วนภูมิภาค แบ่งเป็นมณฑลและเทศาภิบาลได้แก่ ๑ กระทรวงมหาดไทย ๒. มณฑล ๓. เมือง ๔. อำเภอ ๕. ตำบล ๖. หมู่บ้าน และได้จัดตั้งการศาลกระทรวงยุติธรรม มีศาลตัดสินคดีแยกเป็น ๑. ศาลในกรุง ๒. ศาลหัวเมือง ตั้งกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ “เป็นสภานายก” พิจารณาคดีตามหัวเมืองต่าง ๆ

ขวากหนามการปฏิวัติเงียบ

การสูญเสียอำนาจและผลประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงจากรายได้เจ้าเมืองตามหัวเมืองกำลังสูญเสียไปซึ่งเคยได้รับจากราษฎร์ โดยมิได้ส่งเข้าห้องพระคลัง แต่เดิมมิได้แยกเงินหลวงเงินราษฏร์ มักจัดการเองตามสมควร การสูญเสียแรงงานทาสที่เคยใช้ประโยชน์ส่วนตัว การต่อต้านในการสูญเสียอำนาจเกิดขึ้นเสมอ เช่นฝ่ายอนุรักษ์นิยม คือ “พระยาอาหารบริรักษ์” เสนาบดีกรมนาไม่ยอมส่งค่าน่าให้ “หอรัษฎากรพิพัฒน์” จึงถูกปลดออกจากตำแหน่ง เกิดขบถขึ้นในเมืองเหนือ เช่น “โจรเงี้ยวเมืองแพร่” ขบถผีบุญในภาคอีสานเป็นต้น ส่วนในภาคกลางไม่ห่างจากเมืองหลวงมากนักในเขตจังหวัดอยุธยาและจังหวัดปทุมธานีในปัจจุบัน  ได้ต่อต้านการปกครองการเปลี่ยนแปลง สมคบกับโจรปล้นสะดมประชาชนในเขตสองจังหวัด ก่อความเดือดร้อนแก่ราษฎร์  ซึ่งเป็นเรื่องเล่าขานติดต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้

หลวงบรรเทาทุกข์

หลวงบรรเทาทุกข์เป็นผู้มีอำนาจร่ำรวยเงินทอง มีข้าทาสบริวารมาก ชอบใช้อำนาจข่มเหงราษฎร์อยู่เสมอ มีภรรยานับสิบคน หากชอบใจหญิงใดก็จะใช้บริวารฉุดคร่ามาตามต้องการ ราษฎร์ที่ขัดขวางก็จะถูกฆ่าตายโดยไม่มีผู้ใดช่วยเหลือได้ หญิงที่เข้าสู่วัยรุ่นสาวก็จะถูกพ่อแม่เก็บซ่อนตัวไว้ มิใช้ไปปรากฎตัวในที่ชุมนุมชน อีกทั้งห้ามมิให้นุ่งห่มเสื้อผ้าสีฉูดฉาดบาดตา จะนำอันตรายมาสู่ตัวได้

นอกจากหลวงบรรเทาทุกข์จะมักมากในกามารมณ์แล้วยังมีนิสัยเป็นอันธพาลสมคบกับโจรปล้นสะดมชาวบ้าน บางครั้งจะสั่งให้บริวารไปบอกล่วงหน้าว่าจะเข้าปล้นวัวควายในคืนนี้  ชาวบ้านจะอยู่เวรยามเฝ้าตลอดคืน ครั้นเห็นท้องฟ้าสางใกล้สว่างคิดว่าปลอดภัยแล้ว ก็หลับไปหลังจากอดนอนมาตลอดคืน ครั้นตื่นขึ้นมาในตอนสายวัวควายก็หายไปสิ้น

หลวงบรรเทาทุกข์มักก่อความเดือดร้อนให้ราษฏร์ผู้ยากไร้ให้ได้รับความเดือดร้อนอยู่เสมอ ลุแก่อำนาจเรือสินค้าที่นำสินค้าพื้นเมืองจากทางเหลือล่องสู่กรุงบางกอก หรือจากกรุงบางกอกขึ้นไปหัวเมืองเหนือหากไม่จอดพักในเขตกำหนดโดยเสียค่าคุ้มครองแล้ว  ก็จะถูกปล้นฆ่าชิงเรือและสินค้าจนหมดสิ้น เป็นที่หวาดกลัวของผู้สัญจรไปมาทางลำน้ำเจ้าพระยายิ่งนัก

เมื่อหลวงบรรเทาทุกข์จับได้ว่าบุตรของตนได้ลักลอบได้เสียกับภรรยาน้อยที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูก จะลงโทษให้แก้ผ้าทั้งสองคนเอาตะกร้าวิดน้ำเรือจากเรือใหญ่ให้แห้งแล้วจับโบยด้วยหวายจนขาดใจตาย

ความชั่วทั้งหลายที่หลวงบรรเทาทุกข์ได้ก่อไว้ทำให้ราษฎร์หวาดกลัวและไร้ที่พึ่งในไม่ช้าได้มีบุคคลกลุ่มหนึ่งที่ไม่สามารถถอดทนอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้ อำดำเต๋อและพวกได้เสี่ยงชีวิตเข้าแลก เขียนรายงานถวายฏีกาจำนวน ๙ ใบ กราบทูลไปยังพระเจ้าอยุ่หัว กล่าวหาหลวงบรรเทาทุกข์เลี้ยงโจรปล้นสะดมชาวบ้าน ก่อความเดือดร้อนให้ราษฎร์

หลวงบรรเทาทุกข์ได้พยายามวิ่งเต้นใช้อำนาจข่มขู่ผู้ถวายฎีกาและพยายามล้มคดีเสียโดยใช้แตงโมทั้งลูกคว้านไส้ออกหมด แล้วนำเงินทองยัดไส้ไว้ภายใน แล้วนำไปให้เป็นของฝากแก่ผู้ไต่สวนคดีนี้ แต่เรื่องนี้ใหญ่หลวงยิ่งนัก พระเจ้าอยู่หัวจึงทรงสั่งใหไต่สวนเอาความจริงในเรื่องนี้ให้จงได้ ซึ่งโทษมันเป็นขวากหนามการปฏิวัติ  สมคบโจรกดขี่ขูดรีดปล้นฆ่าราษฎร์ตามอำเภอใจ โทษมันจึงควรตัดหัวให้ตายไปตามกรรม

เรื่องหลวงบรรเทาทุกข์นี้เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ “การปกครองหัวเมืองสมัยโบราณเป็นแบบกินเมือง โดยเฉพาะเมืองที่มีเจ้าเมืองมีการสืบตระกูลเจ้าเมืองยิ่งมีอำนาจมากขึ้น ดังที่สมเด็ดกรมพระยาดำรงราชานุภาพกล่าวไว้ในหนังสือ “เทศาภิบาล” ซึ่งท่านได้ไปเห็นด้วยตนเองขณะไปตรวจราชการหัวเมืองเจ้าเมืองจะว่าราชการกันที่บ้านเรียกว่า “จวน” ราษฎร์เคารพยกย่อง เอาสิ่งของมาให้เป็นของกำนัล และยิ่งมีระบบเจ้านายภาษีอากรก็ยิ่งมีอำนาจมากขึ้น ดังนั้นช่องทางที่เจ้าเมืองจะใช้อำนาจในทางที่ผิดก็มีมากขึ้น  ถึงแม้ว่าทางรัฐบาลจะดูแลหรือส่งขุนนางจากส่วนกลางไปควบคุมก็ไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะกรณีเจ้าเมืองที่มีสมัครพรรคพวกเป็นผู้คิดมิชอบ เช่น กรณีผู้รักษาการกรุงศรีอยุธยาเป็นผู้แต่งตั้ง “คหบดีชื่อช้าง” ให้เป็น “หลวงบรรเทาทุกข์” ซึ่งบุคคลผู้นี้กลับเข้ากับโจรผู้ร้าย ทำการโจรกรรมในเขตท้องที่อื่น ซึ่งในที่สุดก็ถูกลงโทษประหารชีวิต”

จากอดีตถึงปัจจุบัน แม้นหลวงบรรเทาทุกข์นี้จะไม่จัดเป็นวีรบุรุษหรือผู้ก่อคุณงามความดีให้ประเทสชาติจนยากยิ่งที่จะลืมกันได้ก็ตามที แต่เรื่องนี้กลับสะท้อนให้เห็นถึงอำนาจและการใช้อำนาจการปกครองและกลไกของรัฐในการจัดการปกครอง จากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นประชาธิปไตยแล้วก็ตาม เรื่องเช่นนี้ก็ยังมีปรากฎอยู่ เพียงแต่ต่างกรรมและต่างกาลเวลาเท่านั้น

การเรียนรู้ประวัติศาสตร์นั้นไม่จำเป็นต้องเรียนรู้แต่ด้านคุณธรรมเพียงด้านเดียว เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหา ในปัจจุบันจึงควรเรียนรู้ทั้งสองด้าน ตราบใดที่อำนาจคือธรรมะราษฏร์ย่อมเป็นสุข ตรงกันข้าม หากอำนาจนั้นตกอยู่กับฝ่ายอธรรม ย่อมส่งผลให้ราษฎร์ต้องทุกข์ยากและยากไร้ยิ่งขึ้นในบั้นปลายผู้ใช้อธรรมย่อมได้รับผลกรรมในที่สุด ดังเช่นหลวงบรรเทาทุกข์ผู้เพิ่มความทุกข์ยากให้แก่ราษฏร์เช่นนี้

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *