บทกำหนดโทษในสมัยโบราณพระอัยการกบฏศึก

Socail Like & Share

ตามกฎหมายเก่าของเรา ได้กำหนดโทษไว้ในพระอัยการกบฏศึกว่า ผู้ที่คิดกบฎก็ดี คุมสมัครพรรคพวกปล้นตีเมืองเผาจวนก็ดี ปล้นเผาพระอุโบสถพระสงฆ์องค์เจ้าก็ดีให้ลงโทษ ๒๑ สถาน คือการลงโทษ

๑. ให้ต่อยกบาลศีรษะเลิกออกเสียแล้ว เอาคีมคีบก้อนเหล็กแดงใส่ลง ให้มันสมองศีรษะพลุ่งฟูขึ้นดังหม้อเคี่ยวน้ำส้มพะอูม

๒. ให้ตัดแต่หนังชำระเบื้องหน้าถึงไพรปากเบื้องบนทั้งสองข้างเป็นกำหนด ถึงหมวกหูทั้งสองข้างเป็นกำหนด ถึงเกลียวคอชายผมเบื้องหลังเป็นกำหนดแล้วให้มุ่นกระหมวดผมเข้าทั้งสิ้น เอาท่อนไม้สอดเข้าข้างละคนโยกถอนคลอนสั่น เพิกหนังทั้งผมนั้นออกเสียแล้วเอากรวดทรายหยาบขัดกบาลศีรษะชำระให้ขาวเหมือนพรรณศรีสังข์

๓. ให้เอาขอเกี่ยวปากให้อ้าไว้แล้วตามประทีปไว้ในปาก หรือนัยหนึ่ง เอาปากสิ่วอันคมแหวะผ่าปากจนหมวกหูทั้งสองข้าง แล้วเอาขอเกี่ยวให้อ้าปากไว้ให้โลหิตออกเต็มปาก

๔. เอาผ้าชุบน้ำมันพันให้ทั่วกายแล้วเอาเพลิงจุด

๕. ให้เอาผ้าชุบน้ำมันพันนิ้วมือทั้งสิบนิ้วแล้วเอาเพลิงจุด

๖. เชือดเนื้อให้เป็นแร่งเป็นริ้วอย่าให้ขาดให้เนื่องด้วยหนังตั้งแต่ใต้คอลงไปถึงข้อเท้าแล้วเอาเชือกผูกจำให้เดินเหยียบย่ำริ้วเนื้อหนังแห่งตน ให้ฉุดคร่าตีจำให้เดินไปจนกว่าจะตาย

๗. เชือดเนื้อให้เนื่องด้วยหนังเป็นแร่งเป็นริ้วแต่ใต้คอลงมาถึงเอวแล้วเชือดแต่เอวให้เป็นแร่งเป็นริ้วลงมาถึงข้อเท้า กระทำเนื้อเบื้องบนนั้นให้เป็นริ้วตกปกคลุมลงมาเหมือนนุ่งผ้าคากรอง

๘. เอา ห่วงเหล็ก สวมข้อศอกทั้งสองข้าง ข้อเท้าทั้งสองข้างให้มั่นแล้วเอาหลักเหล็กสอดลงในวงเหล็กแย่งขึงตรึงลงไว้กับแผ่นดินอย่าให้ไหวตัวได้ แล้วเอาเพลิงลนให้รอบตัวกว่าจะตาย

๙. เอาเบ็ดใหญ่มีคมสองข้างเกี่ยวทั่วกาย เพิกหนังเนื้อและเอ็นน้อยใหญ่ให้หลุดขาดออกมากว่าจะตาย

๑๐. ให้เอามีดที่คมเชือดเนื้อให้ตกออกมาจากกาย แต่ทีละตำลึงกว่าจะสิ้นมังสะ

๑๑. ให้แล่ สับ ฟันทั่วกายแล้วเอาแปรงหวีชุบน้ำแสบกรีดครูด ขุดเซาะหนังแลเนื้อ แลเอ็นน้อยใหญ่ให้ลอกออกมาให้สิ้น ให้อยู่แต่ร่างกระดูก

๑๒. ให้นอนลงโดยข้างๆ หนึ่ง (ตะแคงข้าง) แล้วให้เอาหลาวเหล็กตอกลงไป โดยช่องหูให้แน่นกับแผ่นดิน แล้วจับเท้าทั้งสองหันเวียนไปดังบุคคลทำบังเวียน

๑๓. ทำมิให้เนื้อพังหนังขาด เอาลูกศิลาบดทุบกระดูกให้แหลกย่อยแล้วรวบผมเข้าทั้งสิ้น ยกขนหย่อนลงกระทำให้เนื้อเป็นกองเป็นลอมแล้วพับเนื้อกระดูกนั้นทอดวางไว้ ทำดังตั่งอันทำด้วยฟางซึ่งวางไว้เช็ดเท้า

๑๔. เคี่ยวน้ำมันให้เดือดพลุ่งพล่าน แล้วรดสาดลงมาแต่ศีรษะกว่าจะตาย

๑๕. ให้กักขังสุนัขร้ายทั้งหลายไว้ ให้อดอาหารหลายวันให้เต็มอยาก แล้วปล่อยออกให้กัดทั้งเนื้อหนังกิน ให้เหลือแต่ร่างกระดูกเปล่า

๑๖. ให้เอาขวานผ่าอกทั้งเป็นแหกออกดั่งโครงเนื้อ

๑๗. ให้แทงด้วยหอกทีละน้อยๆ กว่าจะตาย

๑๘. ให้ขุดหลุมฝังเพียงเอว แล้วเอาฟางปกลงคลอกด้วยเพลิงพอหนังไหม้ แล้วไถด้วยเหล็กให้เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่เป็นริ้วน้อยริ้วใหญ่

๑๙. ให้เชือดเนื้อลํ้าออกทอดด้วยนํ้ามันเหมือนทอดขนมให้กินเนื้อตนเอง

๒๐. ให้ตีด้วยไม้ตะบองสั้นตะบองยาวเป็นต้น

๒๑. ให้ทวนด้วยไม้หวายทั้งหนาม

โทษเหล่านี้มิใช่จะต้องลงทุกอย่างในคนๆ เดียว ให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งตามควร ท่านจะเห็นว่าโทษแต่ละอย่างนี้เพียงแค่ได้ฟังเท่านั้น นักโทษก็เห็นจะคอพับสิ้นใจตายไปก่อนจะต้องรับโทษจริงด้วยซํ้าไป

นอกจากนี้โทษของโจรปล้นทรัพย์ลักทรัพย์ก็ร้ายแรงไม่ใช่น้อย คือให้ลงโทษได้ ๑๑ ประการ ประการใดประการหนึ่งคือ
๑. ทวนด้วยหวาย
๒. ให้ตัดนิ้ว
๓. ให้ตัดเท้าทั้งสองข้าง
๔.  ตัดมือสองข้างตัดเท้าสองข้าง
๕. ตัดหูสองข้าง
๖. ให้ตัดจมูกเสีย
๗. ให้ตัดหูทั้งสองข้างและตัดจมูกด้วย
๘. ให้ตัดปากแหวะปากเสีย
๙. ให้เสียบเป็น
๑๐. ให้ตัดศีรษะเสีย
๑๑. ให้จำห้าประการใส่คุกไว้

ถ้าข้าราชการทำผิดอย่างอุกฤษฐ์มีโทษหลายอย่าง เช่นให้ฟันคอริบเรือนริบราชบาทว์ คือ เอาทรัพย์สินผู้คนลูกเมียเป็นของหลวงทั้งหมด หรือถอดออกจากราชการ เป็นต้น

ต่อมาเมื่อบ้านเมืองของเราเจริญขึ้น พลเมืองได้รับการศึกษามากขึ้น การลงโทษแบบเดิม เห็นกันว่าเป็นการทารุณต่อเพื่อนมนุษย์เกินไป เพราะบางอย่างสุดวิสัยที่คนธรรมดาอย่างเราท่านจะทำได้จริงๆ เมื่อได้ตรากฎหมายลักษณะอาญาขึ้นเมื่อ รศ. ๑๒๗ จึงได้กำหนดโทษผู้กระทำผิดไว้ว่ามีเพียง ๖ สถานเท่านั้น คือ
๑. ให้ประหารชีวิต
๒. ให้จำคุก
๓. ให้ปรับ
๔. ให้อยู่ภายในเขตที่อันมีกำหนด
๕. ให้ริบทรัพย์
๖. ให้เรียกประกันทัณฑ์บน

ผู้ที่ถูกลงโทษประหารชีวิตนั้นแต่เดิมมาให้เอาไปตัดศีรษะ แต่ต่อมาเห็นว่าการตัดศีรษะเป็นที่น่าหวาดเสียวเกินไปจึงแก้เป็นว่าให้เอาปืนยิงเสียให้ตาย

ที่มา:วิชาภรณ์  แสงมณี