นิทานเรื่องปูทอง

Socail Like & Share

กาลครั้งหนึ่ง มีสามีภรรยาคู่หนึ่งมีลูกสาวชื่อินุ  วันหนึ่งสองคนผัวเมียได้ไปหาปลา และเมื่อสามีได้ปลาแต่ละครั้ง ภรรยาก็จะพูดว่า

“ให้อินุตัวหนึ่ง ให้อินุตัวหนึ่ง”

หล่อนพูดอย่างนี้ทุกครั้ง  จนในที่สุดสามีเกิดโมโหเอาด้ามสวิงตีภรรยาจนถึงแก่ความตาย ภรรยาจึงกลายเป็นปูทองอยู่ในแม่น้ำนั้น

ต่อมาชายผู้สามีและลูกสาวของเขาก็ได้ทำไร่เป็นอาชีพ วันหนึ่งอินุได้เอาฟักทองในไร่ไปขายที่บ้านแม่ของอิเนา แม่ของอิเนาก็ซื้อฟักทองไว้ และเอาข้าวเปลือกให้เป็นค่าฟักทอง แต่แทนที่นางจะเอาข้าวเปลือกใส่ลงในกระจาดเพียงอย่างเดียว  นางกลับเอาก้อนหินใส่ลงไปด้วยแล้วเอาข้าวเปลือกกองไว้ข้างบน เมื่ออินุจะยกกระจาดขึ้นทูนบนศีรษะจึงยกไม่ขึ้นเพราะหนักก้อนหิน  แม่ของอิเนาก็ไม่ยอมช่วย  และบอกให้อินุร้องเรียกพ่อของหล่อนมาอินุก็ร้องเรียกพ่อ  เมื่อพ่อของอินุมาถึง  แม่ของอิเนาก็จัดแจงหาอาหารแล้วเชิญให้พ่อของอินุกิน พอกินอิ่มแล้วอินุก็ชวนพ่อกลับ แต่แม่ของอิเนาพูดว่า

“ไม่ได้ละ เขากินข้าวกับฉันแล้วทีนี้เขาก็เป็นสามีของฉัน แกจะกลับก็กลับไปคนเดียวซิ พ่อแกไปไม่ได้”

“ฉันก็จะไม่อยู่เหมือนกัน” พ่อของอินุพูดขึ้น  “ถ้าไม่มีลูกสาวของฉันอยู่ด้วย”

“งั้นก็ตกลง” แม่ของอิเนาพูดขึ้น “ให้อินุอยู่ด้วย”

ด้วยเหตุนี้ทั้งหมดก็อยู่ด้วยกัน

อินุและอิเนาได้ไปเลี้ยงควายด้วยกันทุกวัน  แต่แล้ววันหนึ่งแม่ของอิเนาได้ให้อิเนาอยู่บ้านเพื่อทอผ้า ให้อินุไปเลี้ยงควายเพียงคนเดียว ตอนนี้แม่ของอินุซึ่งตายไปแล้ว และได้ตายไปแล้ว ได้แลเห็นลูกสาวเศร้าโศกไม่มีความสุข จึงมาปลอบและเอาก้ามหวีผมให้ลูกสาวทุก ๆ วัน

ฝ่ายแม่ของอิเนาสังเกตเห็นผมของอินุเรียบร้อยผิดธรรมดาก็เฆี่ยนตีซักถาม

“นี่แกไปสำราญองค์อยู่ที่ไหน หนอยแน่ให้ไปเลี้ยงควายกลับไปนั่งแต่งตัวเสียนี่”

แต่อินุก็ไม่ยอมปริปากเล่าเรื่องให้ฟัง

วันหนึ่งแม่ของอิเนาก็ตามอินุเข้าไปในป่าเฝ้าคอยดูอยู่ในขณะที่อินุกำลังเลี้ยงควาย นางแม่เลี้ยงได้แลเห็นปูทองมาหวีผมให้อินุ  นางก็คิดพยาบาทจะหาทางฆ่าปูทองเสียให้จงได้ นางจึงกลับมาบ้านและแกล้งทำเป็นป่วย เอาข้าวเกรียบวางไว้ใต้เสื่อที่นอน  ทุกครั้งที่พลิกตัวไปมาข้าวเกรียบก็หักเสียงดังกรอบแกรบและหล่อนก็จะร้องโอดครวญขึ้นว่า

“โอย พ่อเอ๋ย กระดูกของฉันหักหมดแล้ว มันลั่นกรอบแกรบไปหมด”

พ่อของอินุเชื่อว่าหล่อนป่วยจริงจึงเข้าไปเฝ้าดูอาการ  หล่อนจึงพูดขึ้นว่า

“ไปตามหมอให้ทีเถอะ”

แท้ที่จริงนั้นหล่อนได้นัดแนะกับหมอไว้แล้ว  โดยสั่งว่าถ้าสามีของหล่อนมาหาละก็ให้บอกว่า อาการของโรคจะหายได้ก็จะต้องกินมันของปูทองเท่านั้น เมื่อพ่อของอินุไปหาหมอ หมอจึงแกล้งทำเป็นตรวจอาการของแม่เลี้ยงแล้วบอกตามที่แม่เลี้ยงสั่งไว้  พ่อของอินุเชื่อก็จะไปจับปูทองมาให้

อินุ ได้ยินว่าเขาจะเอาปูทองมาฆ่ากินก็รีบไปบอกแม่ของหล่อน

“ระวังตัวไว้หน่อยนะแม่ เขาจะมาจับแม่ไป ถ้าเขามาที่ริมฝั่งก็หนีไปอยู่เสียกลางแม่น้ำ  ถ้าเขาออกมากลางแม่น้ำก็หลบเข้าไปอยู่เสียริมฝั่ง”

ปูได้หลบเลี่ยงตามคำบอกของอินุุุอยู่เช่นนี้หลายวัน พ่อของอินุุก็ยังจับปูไม่ได้ แม่เลี้ยงของอินุุุจึงพาลหาเรื่องกับอินุ และใช้ให้อินุไปจับปูทองมาให้หล่อน  แต่ถึงแม้ว่าอินุจะไปจับปูทุก ๆ วัน อินุก็ไม่ได้ปูกลับมาบ้าน  ในที่สุดปูได้แลเห็นลูกสาวโศกเศร้าจึงพูดว่า

“จับแม่ไปเถอะ  ลูกจะได้หมดทุกข์ทรมาน และแม่จะได้หมดกรรมที่จะเป็นปูต่อไป  ปล่อยให้เขาทำตามแต่เขาจะปรารถนาเถิด

เมื่อปูพูดเช่นนั้นหลายครั้งหลายหน อินุก็จำใจจับปูกลับไปบ้าน  แม่เลี้ยงจึงให้อินุต้มน้ำเอาปูลงต้ม อินุจำใจทำตามคำสั่ง และเมื่อน้ำเริ่มร้อน ปูก็พูดขึ้นว่า

“ลูกเอ๋ย ขาของแม่ร้อนเหลือเกิน”

อินุุได้ยินเช่นนั้นจึงราไฟเพื่อไม่ให้น้ำร้อนมากขึ้นแต่แม่เลี้ยงแลเห็นเข้า จึงตีและให้ใส่ไฟเข้าไปอีก พอน้ำร้อนมากขึ้นปูก็พูดว่า

“ลูกเอ๋ย อกของแม่ร้อนเหลือเกิน”

อินุก็ราไฟอีก  แม่เลี้ยงเห็นเข้าก็เฆี่ยนตีให้ใส่ไฟเข้าไปอีก  ปูแลเห็นลูกถูกตีเช่นนั้นก็สงสาร  จึงพูดขึ้นว่า

“ลูกเอ๋ย เมื่อแม่ตาย จงรวบรวมกระดูกของแม่ไปฝังไว้ใกล้พระเจดีย์”

เมื่อพูดแล้วก็ขาดใจตาย แม่เลี้ยง เมื่อเห็นปูสุกแล้วก็แบ่งปูให้อินุุเอาไปให้เพื่อนบ้านรวมเจ็ดบ้านด้วยกัน เมื่ออินุเอาไปให้บ้านไหน อินุก็บอกบ้านนั้นว่า

“อย่าทิ้งกระดูก โปรดเก็บเอาไว้ให้ฉันด้วย”

แม่เลี้ยงกินเนื้อปูแล้วก็เอากระดองทิ้งใต้ถุน  อินุจึงแอบเข้าไปเก็บมารวมไว้ในโกศ และไปเก็บจากที่อื่น ๆ มารวมไว้ด้วยกัน  เมื่อได้ครบแล้วก็เอาไปฝังไว้ใกล้ ๆ พระเจดีย์ตามที่ปูได้สั่งไว้

ไม่นานเท่าไรนัก ตรงที่ได้ฝังโกศกระดูกปูนั้นก็มีต้นไทรทองขึ้นมาต้นหนึ่ง และพระเจ้าแผ่นดินได้ทรงทราบ จึงมีรับสั่งให้เสนาบดีนำทหารไปขุด แต่แม้ว่าทหารจะพยายามขุดถอนอย่างไร ๆ ก็ไม่สามารถจะขยับเขยื้อนต้นไทรทองออกมาได้ พระเจ้าแผ่นดินจึงมีรับสั่งให้ไปตีฆ้องร้องป่าวประกาศว่า

“ใครก็ตามที่สามารถขุดต้นไทรขึ้นมาได้จะได้รางวัล  และถ้าเป็นผู้หญิงพระเจ้าแผ่นดินจะทรงสถาปนาให้เป็นพระมเหสี”

เมื่ออินุ ได้ฟังประกาศเช่นนั้นจึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน เพื่อขอรับอาสาและเมื่ออินุไปถึงต้นไทร  หล่อนก็ใช้นิ้วเพียงสองนิ้วเท่านั้น  ก็สามารถถอนต้นไทรขึ้นมาได้  อินุจึงนำต้นไทรเข้าไปเมืองหลวง  และได้นำไปปลูกไว้ที่หน้าพระราชวัง  ส่วนอินุได้รับสถาปนาขึ้นเป็นพระมเหสี

วันหนึ่ง แม่เลี้ยงของอินุได้ให้คนมาส่งข่าวหลอกลวงว่าบิดาของอินุป่วย ดังนั้นอินุจึงแต่งกายไปที่บ้านของแม่เลี้ยง  เมื่อไปถึงแม่เลี้ยงก็ออกมารับหน้าและพูดว่า

“อย่าเพิ่งเข้าไปข้างในเลย แม่เกรงว่าพ่อจะถูกผีงำ ไปอาบน้ำเสียก่อนเถิด”

อินุเชื่อ และขณะที่กำลังอาบน้ำอยู่นั้นเอง  แม่เลี้ยงก็ขโมยเอาเสื้อผ้าไปและผลักอินุตกลงไปในบ่อถึงแก่ความตาย และได้กลายเป็นนกแก้ว

แม่เลี้ยงเมื่อกำจัดอินุได้แล้ว ก็เอาเสื้อผ้าและเครื่องประดับของอินุมาตบแต่งให้อิเนาลูกของตน  แล้วส่งกลับเข้าไปในวัง เมื่อพระเจ้าแผ่นดินทอดพระเนตรเห็นเข้าก็ทรงทัก

“ทำไม่ผมของเธอจึงหงิกงอเช่นนั้น”

“บิดาของหม่อมฉันตาย หม่อมฉันจึงร้องไห้และทึ้งผมของหม่อมฉัน  จึงทำให้ผมหงิกงอ”

“แล้วทำไม่ตาของเธอจึงโปนอย่างนั้นล่ะ”

“หม่อมฉันร้องไห้เมื่อบิดาตายและได้ขยี้ตามากไป จึงทำให้ตาบวมโปนออกมา”

“แล้วนิ้วของเธอทำไมจึงได้หงิกงออย่างนั้นด้วย”

“หม่อมฉันร้องไห้และบิดมือไปมาจึงทำให้นิ้วงอ”

“เอ แล้วทำไม่ขาของเธอจึงโก่งอย่างนั้นล่ะ”

“หม่อมฉันฟาดแข้งฟากขาด้วยความเสียใจ ขาเลยเสีย”

พระเจ้าแผ่นดินทรงเชื่ออย่างง่ายดาย ด้วยเหตุนี้อิเนาจึงได้ตำแหน่งแทนอินุ  และอินุได้กลายเป็นนกแก้วก็บินมาเกาะที่ต้นไทรทุก ๆ วัน และพูดว่า

“ผู้หญิงที่ปราศจากความละอายคนหนึ่งได้นอนอยู่ในอ้อมกอดของพระเจ้าแผ่นดิน และลูกน้อยของฉันก็นอนอยู่แทบเท้าของหญิงไร้ยางอายคนนั้น”

พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังนกแก้วพูด ก็ตรัสสั่งให้มหาดเล็กจับนกแก้วมาเลี้ยง  วันหนึ่งขณะที่พระเจ้าแผ่นดินเสด็จประพาสนอกพระราชวัง อิเนาก็ฆ่านกแก้ว แล้วแกงกับน้ำเต้า เมื่อพระเจ้าแผ่นดินเสด็จกลับมาไม่เห็นนกแก้ว  จึงตรัสถามอิเนาว่านกแก้วเป็นอะไรไป อิเนาก็ทูลว่า

“แมวฆ่านกแก้วเสียแล้ว และหม่อมฉันได้แกงกับน้ำเต้า”

เมื่อทูลเช่นนั้นแล้ว อิเนาก็นำอาหารที่เตรียมไว้มาถวายพระเจ้าแผ่นดิน แต่พระองค์ไม่ยอมเสวยได้เททิ้งไป และตรงที่เทอาหารนั้นเองได้มีต้นน้ำเต้าขึ้นมาต้นหนึ่ง และมีผลเพียงผลเดียว พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงเก็บไว้ในหีบ และในไม่ช้าไม่นานก็มีหญิงสาวออกมาจากน้ำเต้า และหล่อนคืออินุนั่นเอง  หล่อนได้ทูลเรื่องราวที่เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนต้นให้ทรงทราบ  เมื่อพระองค์ทรงทราบเรื่องเช่นนี้แล้ว  จึงตรัสสั่งให้ประหารอิเนาแล้วทำเป็นแบบปลาจ่อม ศีรษะของอิเนาเอาวางไว้ก้นไห  ขาวางไว้ตรงกลาง ส่วนแขนและมือวางไว้ตอนบน เมื่อแม่ของอิเนามาเยี่ยมลูกสาวที่พระราชวัง พระเจ้าแผ่นดินก็ได้ประทาน “ปลาจ่อม” ไปให้  พอไปถึงบ้านนางก็สั่งให้ลูกสาวคนเล็กเอาไปปรุงเป็นอาหาร ลูกสาวแลเห็นเข้าก็พูดว่า

“แม่จ๋าแม่ นี่เหมือนกับมือของพี่เนาจัง”

“แกรู้ได้อย่างไรกัน  ลูกสาวของข้าเป็นพระมเหสี  และนี่เป็นปลาจ่อมที่พระเจ้าแผ่นดินพระราชทานให้มา”

แม่ของอิเนาได้เข้าไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินอีก และพระองค์ก็ได้พระราชทาน “ปลาจ่อม” ท่อนขามาให้ เมื่อลูกสาวคนเล็กได้แลเห็นเข้าก็พูดขึ้นว่า

“แม่จ๋าแม่ นี่เหมือนกับขาของพี่เนาจังเลย”

“นังนี่จะบ้าเสียแล้ว ลูกของข้าเป็นถึงพระราชินี  และนั่นเป็นขาของสัตว์อะไรก็ได้”

ต่อมาอีก  แม่ของอิเนาก็เข้าไปในพระราชวัง  พระเจ้าแผ่นดินก็พระราชทาน “ปลาจ่อม” ท่อนหัวไปให้ เมื่อนางให้ลูกสาวปรุงเป็นอาหาร ลูกสาวก็พูดขึ้นอีกว่า

“แม่จ๋าแม่  นี่เหมือนกับหัวของพี่เนาจังเลย”

แม่ของอิเนามองดูก็จำได้ว่าเป็นศีรษะของลูกสาว  นางจึงเข้าไปในวังเพื่อต่อว่าพระเจ้าแผ่นดิน  แต่เมื่อเข้าไปในถึงพระเจ้าแผ่นดินก็ทำตะไกรหนีบหมากหล่นลงบนพื้น พลางตรัสบอกหล่อนว่า

“ช่วยหยิบตะไกรส่งให้ฉันทีเถอะแล้วเราค่อยพูดตกลงกัน”

แม่ของอิเนาก้มลงเก็บตะไกร พระเจ้าแผ่นดินได้โอกาสก็เอาน้ำร้อนมาราดรดหล่อน  พอถูกน้ำร้อนเข้าก็ร้องด้วยความเจ็บปวด  พระเจ้าแผ่นดินจึงตรัสว่า

“จงกลับไปบ้าน ปูเสื่อเอาเกลือโปรยแล้วก็นอนกลิ้งบนเสื่อนั้น แล้วจะหายปวดเอง”

แม่ของอิเนาวิ่งกลับมาบ้านพลางร้องว่า

“ลูกของแม่ ปูเสื่อเอาเกลือโปรยที ปูเสื่อเอาเกลือโปรยให้ที”

ลูกสาวคนเล็กแลเห็นแม่วิ่งกลับมาอย่างรีบร้อน  หล่อนก็ออกมายืนที่นอกชานบ้าน พลางเต้นแล้วร้องว่า

“พี่ของฉันเป็นพระมเหสีเอิงเงย ฉันก็จะแต่งตัวแบบชาววังเอิงเงย”

หล่อนเต้นและร้องเพลงพลางวิ่งไปเอาเสื่อมาปู แล้วเอาเกลือโปรยลงบนเสื่อ  พอแม่ของหล่อนมาถึงก็ล้มตัวลงนอนกลิ้งเกลือกบนเสื่อ และขาดใจตายบนเสื่อนั่นเอง

นิทานที่มีเค้าโครงคล้ายเรื่องนิทานปลาบู่ทองของไทย  ตามที่เล่ามาเพียง ๔ ชาตินี้  จะเห็นว่าเค้าโครงส่วนใหญ่คล้ายกัน  ต้นเรื่องและลงท้ายต่างกันไปบ้างสุดแต่ว่าชาติไหนจะให้หนักเบาอย่างไร  แต่สรุปได้ว่าเป็นเรื่องกฎแห่งกรรมทั้งสิ้น  อนึ่ง  นิทานเรื่องแม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยงนี้ในนิทานของอินเดียบางเรื่องบางตอนก็คล้ายกับบางตอนในนิทานปลาบู่ทองเหมือนกัน

 

 

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *